เสริมหน้าอก
- หน้าแรก
- /
- บริการของเรา
- /
- ศัลยกรรมหน้าอก
- /
- เสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก อย่างไรให้สวย โดยศัลยแพทย์เฉพาะทางเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก คือการเพิ่มขนาดหน้าอก ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แล้วก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอก สาวๆ จะต้องมีวิธีเตรียมตัว และต้องรู้การดูแลเต้านม รวมถึงผลข้างเคียงต่างๆ เรื่องอะไรบ้าง คุณหมอหลุยส์ นพ. พลเดช สุวรรณอาภา วุฒิบัตรศัลยแพทย์เฉพาะทาง โดยแพทย์สภา อาสาให้ความรู้สำคัญเกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าอกเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันคุณหมอประจำอยู่ที่ จาเรม คลินิก แห่งนี้
เสริมหน้าอก ( Breast Augmentation )
วิธีเพิ่มขนาดหน้าอกให้หน้าอกใหญ่ขึ้น นอกจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก ( Breast Augmentation ) สามารถทำได้ด้วยการใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าเนื้อนม ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์เพิ่มหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง หรือการผ่าตัดใส่ถุงเต้านมเทียม ซึ่งมีหลายขนาด อาทิ ซิลิโคนหน้าอกทรงกลม หรือ ซิลิโคนหน้าอกทรงหยดน้ำ
โดยวิธีทั้งหมดล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ขนาดหน้าอกใหญ่ขึ้น ได้รูปทรงที่ต้องการ เนินอกสวยขึ้น แล้วแต่ตามความต้องการ เพราะฉะนั้น คุณหมอหลุยส์จะขออธิบายทุกเรื่องของการเสริมหน้าอก ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา วิธีการผ่าตัด ชนิดซิลิโคนหน้าอก ตำแหน่งการวางซิลิโคน และรวมถึงเคสรูปรีวิวเสริมหน้าอก ทั้งก่อนและหลังอีกมากมาย
เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
สำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก ด้วยการใส่ซิลิโคนเข้าไปในร่างกาย ปัจจุบัน ซิลิโคนหน้าอก มีพัฒนาออกมาหลายต่อหลายรุ่น และมีคุณภาพดีขึ้นมากกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเรื่องพื้นผิว ความยืดหยุ่น หรือป้องกันการเกิดพังผืดเกาะซิลิโคนที่สามารถทำได้ดีกว่ารุ่นเก่าๆ และตัว ซิลิโคนหน้าอก ต่างก็ถูกออกแบบมาให้แตกต่างกัน เพื่อให้การศัลยกรรมนมได้รูปทรงที่สวยงามแตกต่างกันไป ดังนั้นการทำนมจะสวยเข้ากับรูปร่างหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ซิลิโคนหน้าอก ที่เลือกใช้ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยหลักๆ ซิลิโคนจะมีอยู่ 2 รูปทรงด้วยกันก็คือ เสริมหน้าอกทรงกลม และ เสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนเสริมหน้าอก มีกี่แบบ
การผ่าตัดเสริมหน้าอก มีซิลิโคนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้คนไข้ได้เลือกใช้ตามความเหมาะสม โดยซิลิโคนที่นิยมใช้ในการศัลยกรรม ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน ดังนี้
ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลม
ซิลิโคนหน้าอกทรงกลม นับเป็นซิลิโคนหน้าอกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายเคสของการทำนม ด้วยรูปทรงลักษณะกลม รอบวงซิลิโคนเท่ากันในทุกๆ ส่วน จึงทำให้หน้าอกมีความแน่น หน้าอกเต่งตึง เพิ่มความโดดเด่น ดึงดูดสายตาผู้อื่นได้ดี นอกจากนี้ ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลม ยังมีความพุ่ง ( Degree of Projections ) ที่แตกต่างกันหลายระดับให้เลือกใช้
ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนหน้าอกทรงหยดน้ำ Tear Drop หรือ Anatomic implants เป็นซิลิโคนลักษณะพิเศษที่มีรูปทรงคล้ายหยดน้ำ “ลีบบนขยายล่าง” เป็นการออกแบบให้คล้ายกายวิภาคหน้าอกตามธรรมชาติของผู้หญิง โดยปริมาณซิลิโคนเจลจะเยอะในฐานล่างของซิลิโคน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ซิลิโคนทรงหยดน้ำ จะเติมซิลิโคนเจล ชนิดกึ่งแข็งกึ่งเหลว เพื่อให้ซิลิโคนยังคงรูปทรงหยดน้ำและสัมผัสได้ถึงความนิ่มเหมือนซิลิโคนเจลทั่วๆ ไป
รูปทรงของซิลิโคน Motiva ทั้ง 2 รุ่น
พื้นผิวของซิลิโคน
ปัจจุบันซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอก ได้มีการพัฒนาให้มีความทนทานและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ในส่วนพื้นผิวของซิลิโคนเองก็จะมีให้เลือกอยู่ 3 แบบ ด้วยกันก็คือ ซิลิโคนผิวเรียบ ซิลิโคนผิวทราย และ ซิลิโคนผิวนาโน ซึ่งพื้นผิวทั้ง 3 แบบ ก็จะมีข้อแตกต่างอยู่ด้วยกัน ดังนี้
ซิลิโคนผิวเรียบ ( Smooth Surface )
เป็นซิลิโคนแบบผิวเรียบที่มีความนิ่มมาก ช่วยให้การดูแล เต้านม หลังการผ่าตัด เสริมหน้าอก จะง่ายขึ้น ช่วยลดโอกาสการเกิดริ้วคลื่นของซิลิโคน และลดการเกิดเลือดคั่งหรือน้ำเหลืองคั่งได้ดีกว่า
ซิลิโคนผิวทราย ( Siltex Surface )
ซิลิโคนแบบผิวทราย ช่วยลดโอกาสการเกิดเต้านมผิดรูปหรือเต้านมไหลหลุดจากทรง เพราะซิลิโคนหน้าอกแบบนี้จะสามารถยึดเกาะกับผิวได้ดีกว่า กรณีที่เสริมนมแบบเหนือกล้ามเนื้อ ซิลิโคนชนิดนี้ก็จะช่วยลดการเกิดพังผืดเกาะซิลิโคนได้ดีกว่า
ซิลิโคนผิวนาโน ( Nano Surface )
และซิลิโคนแบบผิวนาโน ( สำหรับแบรนด์ซิลิโคน motiva ) เป็นซิลิโคนกึ่งผิวเรียบและกึ่งผิวทราย เนื้อเนียนนุ่มเหมือนกำมะหยี่ ถูกออกแบบมาเพื่อลดการเกิดซิลิโคนเป็นพังผืด และช่วยเพิ่มความทนทานให้มากขึ้นด้วยเปลือกซิลิโคนหนาถึง 6 ชั้น ไม่ต้องกลัว ซิลิโคนแตก หรือ ซิลิโคนรั่วซึม
ตำแหน่งของแผลผ่าตัดเสริมหน้าอก ( อัพเดทล่าสุด 2024 )
แผลผ่าตัดเสริมหน้าอก คือทางเข้าของซิลิโคนหน้าอกนั่นเอง ส่วนแผลจะอยู่ตรงบริเวณใดก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นในปัจจุบันก็อยู่ตามจุดต่างๆ ทั้ง 3 ตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
เสริมหน้าอกแผลทางรักแร้ ( Transaxillary incision )
แผลทางรักแร้ เป็นจุดยอดนิยมในอดีต เนื่องจากเชื่อว่าการศัลยกรรมเสริมหน้าอก โดยการผ่าตัดแผลทางนี้คือทำให้มองไม่เห็นแผล แต่ปัจจุบันแฟชั่นผู้หญิงเริ่มมีการใส่ชุดโชว์รักแร้มากขึ้น อาจเป็นผลทำให้ไม่สามารถซ่อนแผลได้เสมอไป เสริมหน้าอกแผลทางรักแร้ส่วนใหญ่ จึงเป็นการผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อมากกว่าใต้กล้ามเนื้อ เพราะผ่าตัดยาก ต้องใช้วิธีส่องกล้องร่วมด้วย อาจเกิดมีเลือดคั่งมากกว่าหรือเกิดปัญหาราวนมไม่เท่ากันได้บ่อยๆ
เสริมหน้าอกแผลรอบปานนม ( Periareolar incision )
แผลรอบปานนม มีข้อดีคือแผลจะเล็ก ถ้ารักษาได้ดี อาจมองไม่เห็นแผลเลย แต่ซิลิโคนก็ต้องใช้ขนาดที่เล็กตามไปด้วย และอาจเสี่ยงบาดเจ็บต่อท่อน้ำนมเกิดปัญหาน้ำนมคั่ง น้ำนมไหลได้ไม่ดี เพราะท่อน้ำนมถูกตัดขาด บาดเจ็บต่อเส้นประสาทรอบราวนม ส่งผลทำให้หัวนมชา เสียความรู้สึกรอบปานนม และหากผ่าตัดด้วยวิธีนี้ อาจมีความเสี่ยงเกิดพังผืดรัดซิลิโคนมากกว่าวิธีอื่น
เสริมหน้าอกแผลใต้ราวนม ( Inframammary incision )
แผลใต้ราวนม เป็นแผลที่นิยมมากในปัจจุบัน สามารถเลาะชั้นกล้ามเนื้อได้ดี และสามารถจัดวางซิลิโคนหน้าอกได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ แต่อาจมีปัญหาเรื่องแผลเป็นเห็นชัดกว่าวิธีอื่น แต่ต้องดูแลแผลอย่างถูกวิธี เพื่อให้แผลเป็นศัลยกรรมนมจางหายตามกาลเวลา การผ่าตัดวิธีนี้สามารถใช้ในการผ่าตัดยกกระชับทรวงอก แก้พังผืด และแก้เสริมใหม่ต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ตำแหน่งการวางซิลิโคน
การวางตำแหน่งซิลิโคนเสริมหน้าอก มี 3 แบบ ซึ่งแบบไหนจะเหมาะสมกับคนไข้ ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินให้ตามความเหมาะสมของสรีระแต่ละบุคคล
เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ
การวางซิลิโคนหน้าอกแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกอยู่บ้าง ไม่เหมาะกับคนที่มีรูปร่างผอม หรือมีเนื้อหน้าอกน้อย เพราะจะดูไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไปจะยิ่งทำให้เห็นขอบถุงซิลิโคนชัดมากในผู้ที่มีผิวบาง และเกิดริ้วรอยรอบซิลิโคนได้ง่าย ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะได้รับความเจ็บปวดน้อย แต่ก็มีโอกาสทำให้เกิดพังผืดหลังเสริมหน้าอกได้สูงกว่าในอนาคต และรูปทรงหน้าอกหลังศัลยกรรมหน้าอกด้วยซิลิโคนที่ขนาดใหญ่มากๆ ก็จะมีโอกาสคล้อยลงได้มากกว่าอีกด้วย
เสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ
การวางซิลิโคนหน้าอกแบบนี้จะดูเป็นธรรมชาติที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย วิธีนี้จะไม่เห็นขอบของถุงซิลิโคน การสัมผัสจะช่วยให้ได้รับความรู้สึกว่าเหมือนหน้าอกจริงมากกว่า เพราะถุงซิลิโคนจะซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ แต่หากเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกอาจจะเห็นซิลิโคนเคลื่อนที่ได้ และเจ็บมากกว่า ( ในระยะแรก ) แต่ตำแหน่งนี้จะลดโอกาสการเกิดพังผืดเกาะซิลิโคนได้มากกว่า วิธีนี้จึงได้รับความนิยมอย่างมาก
เสริมหน้าอก Dual plane
เป็นการผ่าตัดทำนมแบบผสมผสาน 2 วิธี คือ ซิลิโคนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อบางส่วน และอยู่นอกกล้ามเนื้อ หรือใต้ต่อมชั้นไขมันหน้าอกบางส่วน วิธีนี้จะสามารถลดการขยับของซิลิโคนหน้าอกตามการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการเสริมนมแบบใต้กล้ามเนื้อปกติ หน้าอกก็จะได้ทรงสวย เนินอกสวย ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการเสริมหน้าอกชนิดเหนือกล้ามเนื้อ
ในระยะยาว การทำหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อบางส่วนและใต้กล้ามเนื้อบางส่วน ( Dual plane ) ให้ผลดีกว่า เป็นบล็อกน้อยกว่า เป็นริ้วน้อยกว่า และไม่ทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่การผ่าตัดวิธีนี้ทำยากกว่าวิธีเหนือกล้ามเนื้อมาก เพราะต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะต้องออกแบบจัดเรียงชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อวางซิลิโคนหน้าอกในตำแหน่งที่เหมาะสม หมอหลุยส์ จาเรม ผ่าตัดทำหน้าอกโดยใช้วิธี Dual plane ทุกเคส
การเลือกรูปทรงหน้าอกและขนาดหน้าอก
หมอหลุยส์ผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยความใส่ใจทุกขั้นตอน
วิธีการเสริมหน้าอก
สำหรับวิธีการเสริมหน้าอกที่นิยมใช้ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ดังนี้
การใส่ซิลิโคนหน้าอกด้วย Funnel ( กรวย )
การเสริมหน้าอกแบบใส่ซิลิโคนด้วยกรวย เป็นวิธีศัลยกรรมหน้าอกที่จะใช้ Keller Funnel หรือการใช้กรวยใส่ซิลิโคนที่เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ โดยจะมีลักษณะเป็นกรวยที่มีผิวเรียบ ลื่น และมีปลายเปิด เพื่อใส่ซิลิโคนเข้าไปในแผลผ่าตัดได้ง่ายขึ้น มีข้อดีตรงที่สามารถใส่ซิลิโคนได้ง่าย ลดอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอก ลดโอกาสในการติดเชื้อ เหมาะกับคนไข้ที่อยากให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก หรือมีเวลาในการฟื้นตัวน้อย
การใส่ซิลิโคนด้วย Funnel หรือกรวย
การผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านกล้อง
การผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านกล้อง เป็นวิธีการที่จะทำการผ่าตัดเปิดผิวหนังบริเวณใต้รักแร้ประมาณ 3-4 เซนติเมตร และทำการสอดกล้องเข้าไปในแผลที่ได้ผ่าตัดเปิดไว้ เพื่อเป็นการนำทางสายตา แล้วจึงค่อยทำการใส่ซิลิโคนเข้าไปในบริเวณช่องที่ทำการเลาะเปิดไว้ มีข้อดีตรงที่แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว และมีโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นได้น้อย หรือมองเห็นแผลได้ไม่ชัดเจน เหมาะกับคนไข้ที่ไม่อยากให้เห็นแผลผ่าตัดชัดเจน มีเวลาในการฟื้นตัวน้อย และมีงบประมาณในการทำนมสูง
ก่อนเข้ารับผ่าตัดเสริมหน้าอก มีวิธีเตรียมตัวอย่างไร
- ไม่ปกปิดข้อมูลด้านสุขภาพ ควรแจ้งข้อมูลโรคประจำตัว ยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ ประวัติการแพ้ยา หรือหากมีอาการเจ็บป่วยไม่สบายก่อนวันผ่าตัด ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบก่อนวันผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ควรงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างน้อย 7-14 วันก่อนการผ่าตัด
- งดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- ไม่ใส่คอนแทคเลนส์, แต่งหน้า, ทาเล็บ, ทาโลชั่น, ฉีดน้ำหอม หรือใส่เครื่องประดับในวันผ่าตัด
- เพื่อความสะดวก ควรนำเสื้อที่มีกระดุมด้านหน้ามาใส่หลังจากผ่าตัดเสร็จ
- ควรมีผู้ติดตามหรือญาติมาด้วยในวันผ่าตัด
ขั้นตอนการเสริมหน้าอก
สำหรับขั้นตอนในการทำเสริมหน้าอกจะต้องทำการผ่าตัดตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ โดยขั้นตอนในการศัลยกรรมหน้าอก มีดังนี้
- ดมยาสลบ เป็นขั้นตอนที่วิสัญญีแพทย์จะให้คนไข้ทำการดมยาสลบ เพื่อให้คนไข้นอนหลับสนิทก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- เริ่มการผ่าตัด เป็นขั้นตอนที่ศัลยแพทย์จะเริ่มทำการผ่าตัดตามแผนที่วางไว้กับคนไข้ โดยจะเริ่มจากการเปิดช่องบริเวณหน้าอก เพื่อทำการใส่ซิลิโคน ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- เย็บปิดแผล เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ศัลยแพทย์จะทำการเย็บปิดแผลที่ได้ผ่าตัดเปิดไว้ โดยอาจจะเป็นบริเวณราวนม ใต้รักแร้ หรือรอบปานนม พร้อมกับทำความสะอาดแผล จากนั้นก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการผ่าตัดทำหน้าอก
การดูแลหลังเสริมหน้าอก
- ไม่ควรนอนราบ ให้นอนพิงหมอนเอนหลังประมาณ 45 องศา เพื่อไม่ให้แผลตึง ลดอาการเจ็บแผลใน 1 สัปดาห์แรก
- หลังผ่าตัด อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลจากการดมยาสลบ ให้ทานอาหารอ่อนๆ จิบน้ำบ่อยๆ
- ทานยาแก้ปวดหรือยาฆ่าเชื้อตามเวลาที่แพทย์สั่ง
- แผลไม่ควรถูกน้ำเป็นเวลา 4-5 วัน สามารถอาบน้ำได้ แต่ให้ปิดพลาสเตอร์กันน้ำที่แผลไว้ก่อน
- ประมาณ 7-10 วัน เมื่อแผลแห้ง สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ
- ใส่ Post-op Bra ไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วง 1 เดือนแรก
- งดการออกกำลังกาย ยกของหนัก และ Sex ใน 1 เดือนแรก หลังผ่าตัด
- งดบุหรี่ แอลกอฮอล์และของแสลงต่างๆ ใน 1 เดือนแรก
- เริ่มนวดหน้าอก เมื่อไม่มีอาการเจ็บหน้าอกแล้ว หรือตามแพทย์สั่ง
- งดอาหารเสริมที่มีความเสี่ยงให้เลือดไม่แข็งตัว หรือเกิดพังผืด เช่น น้ำมันปลา คอลลาเจน ควรงดเป็นระยะเวลา 1 เดือน
- มาตรวจหลังผ่าตัดกับแพทย์ตามเวลาที่นัดไว้เสมอ
การดูแลหลังเสริมหน้าอก โดย จาเรมคลินิก
- ไม่ควรนอนราบ ให้นอนพิงหมอนประมาณ 45 องศา เพื่อไม่ให้แผลตึง ลดอาการเจ็บแผล
- ทานยาแก้ปวดหรือยาฆ่าเชื้อตามเวลาที่แพทย์สั่ง
- แผลไม่ควรถูกน้ำเป็นเวลา 4-5 วัน หรือตามแพทย์แนะนำ
- ให้งดรับประทานของแสลงทุกชนิด เช่น ของสุก ๆ ดิบ ๆ ส้มตำปูปลาร้า อาหารทะเลของสุก ๆ ดิบ ๆ
- ให้พันผ้าไว้ หรือใช้ Post-op บรา ใส่ให้อกกระชับไว้ 24 ชั่วโมงในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- มาตรวจกับแพทย์ตามเวลาที่นัดไว้เสมอ
การดูแลหลังเสริมหน้าอก โดย จาเรม คลินิก
- ไม่ควรนอนราบ ให้นอนพิงหมอนประมาณ 45 องศา เพื่อไม่ให้แผลตึง ลดอาการเจ็บแผล
- ทานยาแก้ปวดหรือยาฆ่าเชื้อตามเวลาที่แพทย์สั่ง
- แผลไม่ควรถูกน้ำเป็นเวลา 4-5 วัน หรือตามแพทย์แนะนำ
- ให้งดรับประทานของแสลงทุกชนิด เช่น ของสุกๆ ดิบๆ ส้มตำปูปลาร้า อาหารทะเลของสุกๆ ดิบๆ
- ให้พันผ้าไว้ หรือใช้ Post-op บรา ใส่ให้อกกระชับไว้ 24 ชั่วโมง ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- มาตรวจกับแพทย์ตามเวลาที่นัดไว้เสมอ
ผลงานของเรา
คำถามที่พบบ่อยในการเสริมหน้าอก
หลังจากการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียง หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ดังนี้
- อาการปวด หรือเจ็บบริเวณหน้าอก เป็นอาการที่เกิดจากแผลผ่าตัดยังไม่หายสนิท และกล้ามเนื้อมีการขยายตัวตามซิลิโคนที่เสริมไว้ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการดังกล่าวในช่วงสัปดาห์แรก และอาการจะค่อยๆ หายไปเองตามลำดับ หรือถ้าหากปวดมาก ก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
- มีเลือด หรือของเหลวไหลออกมาจากแผลผ่าตัด เป็นอาการที่เกิดจากแผลผ่าตัดยังไม่หายสนิท ทำให้มีการซึมของเลือด และของเหลวเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรก แต่ถ้าหากมีอาการซึมผิดปกติ และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ หรืออาการปวด ควรรีบพบแพทย์ทันที
- มีอาการช้ำที่บริเวณหน้าอก เป็นอาการที่เกิดจากเลือดรั่วซึมออกมาบริเวณผิวที่ทำการผ่าตัด ทำให้เกิดอาการช้ำที่บริเวณหน้าอก โดยส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และสามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมช้ำได้
- มีแผลเป็น หรือรอยนูนที่บริเวณแผลผ่าตัด เป็นอาการที่เกิดจากการที่แผลไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดรอยแผลเป็น หรือแผลเป็นนูนหลังจากที่แผลผ่าตัดหายสนิทแล้ว
- อาการพังผืดรัดซิลิโคน เป็นอาการที่เกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีสารหลั่งออกมาเพื่อห่อหุ้มซิลิโคนเอาไว้ และกลายเป็นพังผืดรัดซิลิโคน ซึ่งอาจจับตัวเป็นก้อนได้ และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้หน้าอกเสียรูปทรงได้
- ซิลิโคนมีการเคลื่อนที่ มักจะเกิดจากสาเหตุกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกน้อย ทำให้ซิลิโคนเกิดการเคลื่อนที่ ส่งผลให้ซิลิโคนเลื่อนลงต่ำกว่าตำแหน่งเดิม หรือเคลื่อนที่ออกด้านข้างมากกว่าปกติ และส่งผลให้รูปทรงหน้าอกดูไม่เป็นธรรมชาติ
- คลำเจอขอบซิลิโคน เกิดจากการที่เนื้อหน้าอกบาง ไม่เพียงพอต่อการปิดขอบซิลิโคน และหลังจากทำนมเข้าที่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เห็นขอบซิลิโคนได้ง่ายมากขึ้น เพราะพังผืดมีการดึงผิวหนังมากขึ้น
- เลือดคั่งหลังการเสริมหน้าอก เป็นอาการที่เกิดจากการที่มีเลือดสะสมอยู่ในบริเวณที่ใส่ซิลิโคน ส่งผลให้หน้าอกมีอาการบวม หรือช้ำ และถ้าหากมีอาการปวดร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดอาการอักเสบได้
เลือกคลินิกเสริมหน้าอกอย่างไรดี
การศัลกรรมเสริมหน้าอก ถือเป็นการเพิ่มขนาดหน้าอกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จึงทำให้มีคลินิกเสริมหน้าอกเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้น คนไข้จึงควรเลือกคลินิกอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการทำนมออกมาดีที่สุด โดยเกณฑ์ในการเลือกคลินิกที่ควรรู้ไว้ มีดังนี้
- คลินิกมีใบอนุญาตประกอบการ เป็นเกณฑ์ในการเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบการ เพื่อยืนยันว่าคลินิกเสริมหน้าอกมีมาตรฐานตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้
- ศัลยกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การศัลยกรรมหน้าอกนั้น จะต้องทำการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ในการผ่าตัด
- ศัลยแพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ ศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดนั้น จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกขึ้นทะเบียนโดยแพทยสภา และสามารถตรวจสอบเลขใบประกอบวิชาชีพได้
- เลือกใช้ซิลิโคนที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน เป็นสิ่งที่คนไข้จะต้องทำการตรวจสอบได้ว่าซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมนมนั้นเป็นซิลิโคนของแท้ มีมาตรฐาน และมีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยในการศัลยกรรม
- คลินิกมีความสะอาด และปลอดภัย เป็นเกณฑ์พื้นฐานที่คนไข้จะต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะคลินิกที่ทำการผ่าตัดนั้น จะต้องมีความสะอาด และปลอดภัย เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการผ่าตัด และเพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง
- มีรีวิวศัลยกรรมจากคนไข้จริง เป็นสิ่งที่คนไข้จะต้องทำการดูรีวิวศัลยกรรมเสริมหน้าอกว่าเป็นอย่างไรบ้าง และจะต้องเป็นรีวิวที่มาจากคนไข้จริงเท่านั้น เพื่อเป็นการยืนยันในผลงานของแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดด้วย
- พนักงานให้บริการด้วยความใส่ใจ เป็นสิ่งที่คนไข้จะต้องได้รับคำแนะนำ หรือสามารถปรึกษาพนักงานได้อย่างสบายใจ เพราะว่าในการศัลยกรรมนม คนไข้อาจมีข้อสงสัยต่างๆ ดังนั้น พนักงานที่คลินิกจะต้องให้บริการด้วยความใส่ใจมากที่สุด
ห้องผ่าตัดที่ จาเรม คลินิก
เสริมหน้าอกที่ จาเรม คลินิก ดีอย่างไร
เสริมหน้าอกที่ Jarem Clinic เป็นคลินิกที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่สนใจอยากทำหน้าอกได้เป็นอย่างดี เพราะที่ Jarem Clinic เป็นคลินิกที่ดูแลโดย 2 แพทย์ผู้ก่อตั้ง ได้แก่ “หมอหลุยส์” หรือ นพ. พลเดช สุวรรณอาภา (ศัลยแพทย์เฉพาะทางเสริมหน้าอก) และ “หมอยุ้ย” หรือ พญ. ณัฏฐ์ธยาน์ สินประเสริฐกูล (จักษุแพทย์เฉพาะทางตกแต่ง และเสริมสร้าง) ที่มีวุฒิบัตรแพทยสภา โดยคุณหมอหลุยส์ และคุณหมอยุ้ย จะดูแลคนไข้ด้วยความใส่ใจทุกเคส มีการเตรียมก่อนผ่าตัด และการดูแลหลังผ่าตัดเป็นอย่างดี มีความสะอาด ปลอดภัย มีรีวิวทำนมกับหมอหลุยส์ และรีวิวทำตากับหมอยุ้ยจากคนไข้จริง รวมถึงมีการนัดติดตามผล เพื่อตรวจเช็กผลลัพธ์หลังผ่าตัดเป็นระยะ เพื่อให้มีความปลอดภัยในทุกขั้นตอน
คำถามที่พบบ่อยในการเสริมหน้าอก (FAQ)
สำหรับผู้ที่สนใจอยากศัลยกรรมเสริมหน้าอก อาจจะกำลังมีข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการทำนม เพราะว่าเป็นการศัลยกรรมที่จะต้องทำการศึกษาอย่างละเอียด ดังนั้น ในหัวข้อนี้จึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยในการทำนมมาให้แล้ว ดังนี้
เสริมหน้าอกแล้วสามารถให้นมลูกได้หรือไม่?
หลังศัลยกรรมนมแล้ว สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ เพราะการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะไม่ไปทำอันตรายต่อท่อน้ำนม โดยเฉพาะการผ่าตัดด้วยวิธี Dual Plan เพราะจะเสริมอยู่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ ใต้ชั้นเนื้อนม ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อต่อมน้ำนมเลย
หลังเสริมหน้าอกต้อง นวดหน้าอก หรือไม่?
การนวดหน้าอกหรือการนวดนม นับเป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่เราเสริมหน้าอกไปสักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้หน้าอกนิ่มและฟูขึ้น เป็นการช่วยลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม โดยเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนวดนมควรเป็นช่วงหลังจากตัดไหม ซึ่งรอยแผลหายดีแล้ว สาเหตุที่เราต้องนวดหน้าอกก็เพราะหลังจากที่มีการเสริมหน้าอกไปแล้ว กลไกทางธรรมชาติของร่างกายจะสร้างพังผืดขึ้นมาจับรอบๆ ซิลิโคน พอผ่านไปนานๆ พังผืดก็จะรัดตัว ส่งผลให้เต้านมแข็ง เป็นก้อน เป็นบล็อค ดูไม่สวยงาม ไม่เป็นธรรมชาติ หากเป็นมากก็จะมีอาการปวดหรืออักเสบได้ ควรนวดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วง 3-6 เดือนแรก หลังเสริมอึ๋มได้ 6 เดือนไปแล้วก็ยังคงสามารถนวดได้ และนวดต่อไปได้จนถึง 2-3 ปี หลังเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอกเจ็บมากเหมือนสิบล้อทับไหม?
การผ่าตัดเสริมหน้าอกที่เจ็บมาก มักเกิดจากสาเหตุเพราะเสริมซิลิโคนใหญ่เกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงสรีระรูปร่าง ขนาดพื้นที่ของเนื้อนมและกล้ามเนื้อ ในระยะยาว การเสริมซิลิโคนที่ใหญ่เกินไป นอกจากจะเกิดอันตรายแล้ว อาจเกิดการหย่อนคล้อยก่อนเวลา เสี่ยงต่อภาวะปวดหลังในระยะยาว และอีกสาเหตุก็คือการผ่าตัดที่รุนแรง ส่งผลให้บาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ เพราะการผ่าตัดต้องมีความละเอียด ใจเย็น หยุดเลือด เปิดชั้นเนื้อเยื่ออย่างถูกต้อง แพทย์ต้องมีประสบการณ์ในการผ่าตัด หากการผ่าตัดราบรื่น ก็จะไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ ถ้าผ่าตัดได้แบบนี้ อาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดก็จะน้อยมาก
เสริมหน้าอกขนาดเท่าไหร่จึงจะเหมาะกับเรา?
การศัลยกรรมเสริมหน้าอกที่ จาเรม คลินิก แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และแนะนำขนาดที่เหมาะสมให้โดยเน้นความต้องการของคนไข้ และความปลอดภัยเป็นหลัก ดังนั้นที่นี่จึงมีรีวิวที่หลากหลายมากๆ ตั้งแต่ 200cc ไปจนถึง 700cc แต่การเสริมหน้าอกให้สวยไม่ได้ขึ้นกับขนาดซิลิโคนอย่างเดียว วิธีการผ่าตัดและประสบการณ์ของแพทย์ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ
เสริมหน้าอกที่ จาเรม คลินิก ให้ดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์หรือไม่?
เสริมหน้าอกที่ จาเรม คลินิก เราดมยาสลบให้อย่างถูกต้อง มีมอนิเตอร์สัญญาณชีพตลอดระยะเวลาการผ่าตัด คนไข้จะหลับสนิทจนกระทั่งศัลยกรรมเสร็จ ทุกขั้นตอนดูแลโดย “วิสัญญีแพทย์” ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายใดๆ หรือผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ตื่นกลางคัน คลื่นไส้อาเจียน ฯลฯ
ผ่าตัด Dual Plane คืออะไร?
การผ่าตัดเสริมหน้าอกสามารถแบ่งง่ายๆ ได้ 2 วิธี คือ ผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อและใต้กล้ามเนื้อ Dual Plane ก็คือการศัลยกรรมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง โดยที่ จาเรม คลินิก เราผ่าตัดเสริมเต้าด้วยวิธี Dual Plane เป็นหลัก เพราะทำให้หน้าอกสวย สัมผัสนิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ และอัตราการเกิดพังผืดน้อยกว่าการเสริมหน้าอกแบบเหนือกล้ามเนื้อ
อ่านต่อได้ที่บทความ : เปรียบเทียบชัดๆ ! Dual Plane คืออะไร ต่างจากการทำอกแบบอื่นยังไง?
หน้าอกหย่อนคล้อยจากการมีลูก เสริมหน้าอก จะช่วยให้ดีขึ้นไหม?
หน้าอกหย่อนคล้อยมีหลายระดับตั้งแต่คล้อยน้อยจนกระทั่งคล้อยมาก หากอาการไม่เยอะ การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนสามารถช่วยได้ แต่ถ้าคล้อยมาก ควร ”ผ่าตัดยกกระชับ” จะแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า สามารถศึกษาเพิ่มเติมในบทความ “ยกกระชับหน้าอก”
ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีขนาดเท่าไหร่บ้าง?
ซิลิโคนหน้าอก มีตั้งแต่ขนาด 100cc -1000cc ทั้งนี้ ร่างกายจะสามารถเสริมได้เท่าไหร่ ต้องขึ้นกับดุลยพินิจของศัลยแพทย์ร่วมด้วย
ซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี?
โดยทั่วไปซิลิโคนเสริมหน้าอกสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต แต่ต้องคอยดูแลรักษาไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน หรืออุบัติเหตุรุนแรง และคอยตรวจเช็คหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง
อ่านต่อได้ที่บทความ : เสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี ซิลิโคนอยู่ได้ตลอดชีวิตหรือไม่?
หลังทำนมมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อไหร่?
หลังจากทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก สามารถทำกิจกรรมบนเตียงได้ประมาณช่วงหลังทำนม 2 สัปดาห์ขึ้นไป ในกรณีที่รู้สึกไม่เจ็บแผลแล้ว แต่ถ้าหากสามารถเว้นการทำกิจกรรมดังกล่าวได้นานถึง 2-3 เดือน ก็จะเป็นผลดีต่อคนไข้มากที่สุด เพราะถ้าหากทำกิจกรรมในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจากทำนม อาจจะมีโอกาสที่ซิลิโคนเกิดการเคลื่อนตัว หรือผิดรูปได้ และอาจมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ แทรกซ้อนได้เช่นกัน
สรุปเกี่ยวกับการ เสริมหน้าอก
การจะตัดสินใจเข้ารับการทำเสริมหน้าอก ต้องดูตามความต้องการของเราก่อนว่าต้องการหน้าอกแบบไหน ขนาดใหญ่ดึงดูดใจ หรือแบบพอดีตัว เสริมบุคลิกใส่เสื้อผ้าสวย ไม่ต้องการเนินหน้าอกสูง อยากให้อกชิด ไม่ต้องการหน้าอกเป็นบล็อก ฯลฯ จากนั้นศึกษาหาข้อมูลถึงข้อดีข้อเสียของซิลิโคนหน้าอกรูปทรงต่างๆ ทั้งทรงกลมหรือทรงหยดน้ำ ตำแหน่งผ่าตัด สุดท้ายต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ผู้ซึ่งจะเป็นคนผ่าตัดเสริมหน้าอกให้เรา สอบถามโดยตรง ฟังความคิดเห็น คำแนะนำต่างๆ ว่าศัลยกรรมหน้าอกแบบไหนเหมาะกับเรา เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องเชื่อฟัง ปฏิบัติตัว ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายเร็ว หน้าอกทรงสวยถูกใจ
บทความโดย
นพ. พลเดช สุวรรณอาภา
ศัลยแพทย์ เฉพาะทางเสริมหน้าอก
“เสริมหน้าอกเป็นหัตถการที่แพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยสื่อโซเชียลทำให้คนไข้หาข้อมูลได้ง่าย มีรีวิวให้ดูมากมายและราคาเสริมหน้าอกที่แข่งกันลดราคา ผมขอแนะนำว่าให้ศึกษาให้ดี ต้องได้คุยกับแพทย์ผู้ผ่าตัดให้เรา เราต้องรู้ว่าเราใส่ซิลิโคนอะไร ผ่าตัดด้วยวิธีไหน และอย่าเห็นราคามาก่อนคุณภาพนะครับ”
ศัลยแพทย์เฉพาะทางเสริมหน้าอก นพ. พลเดช สุวรรณอาภา (หมอหลุยส์)