วิธีลบแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก ให้เนียนกริบ แก้ปัญหากวนใจของสาวๆ

วิธีลบแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก ให้เนียนกริบ แก้ปัญหากวนใจของสาวๆ

หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก รอยแผลเป็นคือของแถมที่ไม่มีใครอยากได้ แต่ในบางกรณีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงรอยแผลเป็นที่กลายเป็นคีลอยด์ได้ แต่ยังดี ที่วิทยาการทางการแพทย์ปัจจุบันมีวิธีดูแลรักษารอยแผลเป็นคีลอยด์ให้กลับมาเนียนเรียบ เหมือนผิวหนังไม่เคยผ่าตัดมาก่อนได้

เนื้อหาที่น่าสนใจ

แผลเป็นหลังเสริมหน้าอกคืออะไร

แผลเป็นหลังเสริมหน้าอกคืออะไร

แผลเป็นคีลอยด์เกิดจากการสมานตัวของเนื้อเยื่อร่างกายที่รวดเร็วและมากเกินไป จึงทำให้เกิดแผลหลังเสริมหน้าอก เพราะแผลเป็นเกิดจากความไม่สมดุลของเนื้อเยื่อและคอลลาเจน จึงทำให้เกิดรอยแผลนูนขึ้นมา โดยอาจจะมีทั้งรอยเล็กรอยใหญ่ ขึ้นอยู่กับวิธีที่คนไข้เลือกผ่าตัดและเทคนิคทางการแพทย์ที่ทางสถานพยาบาลเลือกใช้ นอกจากนี้แผลหลังเสริมอกยังสามารถมีได้หลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดงหรือสีม่วง แต่สีจะค่อยๆ ซีดลง ตามกาลเวลา แต่มักจะเป็นปัญหากวนใจสาวๆ เพราะเวลาสัมผัสจะให้ความรู้สึกแข็งๆ ด้านๆ ทำให้ผิวหนังไม่สวยงาม หลายคนจึงต้องการรักษาแผลเสริมหน้าอก

โดยบริเวณที่สามารถมีรอยแผลทำนม มีอยู่ด้วยกัน 3 ที่ คือ

    1. รอยแผลผ่าตัดใต้วงแขน จะเป็นรอยกรีดใต้รักแร้ยาว 1.5-3 เซนติเมตร แพทย์จะเลือกใช้เทคนิคนี้กับสาวๆ ที่มีรูปร่างเล็ก และมีกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกน้อย
    2. รอยแผลผ่าตัดใต้ราวนม จะเป็นรอยกรีดยาวใต้ฐานหน้าอก ทำให้สามารถเสริมหน้าอกไซซ์ขนาดใหญ่ได้ โดยแผลชนิดนี้สามารถสมานตัวได้เร็วที่สุด
    3. รอยแผลผ่าตัดที่ปานหัวนม จะเป็นการกรีดรอบปานนม ทำให้ไม่มีแผลที่ใต้วงแขวนและใต้ราวนม ได้รับความนิยมในหมู่ดาราและนางแบบ เพราะแผลเล็ก แต่ไม่สามารถอัพไซซ์ให้ใหญ่ได้มากนัก
สาเหตุของการเกิดแผลเป็น

สาเหตุของการเกิดแผลเป็น

วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกได้ว่า ทำไมบางคนถึงเกิด hypertrophic scar หรือแผลเป็นนูนเกินขึ้นมาในช่วงระยะ 6 เดือนแรกได้ แต่จะสามารถพบแผลเกิดใหม่ในตำแหน่งที่ความตึงมาก เช่น บริเวณข้อต่อหรือกลางหน้าอก จากนั้นก็จะค่อยๆ ยุบลง และจะกลับเข้าสู่แผลเป็นคงที่ (stable scar) และจะค่อยๆ มีลักษณะใกล้เคียงแผลเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงประมาณ 1 ปีต่อมา ส่วนแผลเป็นคีลอยด์ มักพบในผู้ป่วยที่มีผิวสีเข้ม เกิดได้บ่อยตามหัวไหล่ ติ่งหูและกลางหน้าอก หากพ่อหรือแม่มีประวัติการเกิดคีลอยด์ ลูกก็มักจะเกิดคีลอยด์ตามมาด้วย เนื่องจากร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติ

แผลหลังเสริมหน้าอกมีกี่ชนิด

แผลหลังเสริมหน้าอกมีกี่ชนิด

หลังจากที่สาวๆ เสริมหน้าอกแล้ว อาจเกิดแผลเป็นที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ ซึ่งแผลที่มีความผิดปกติที่ต้องรีบรักษาให้หายขาด มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

    • แผลเป็นที่โตนูน : hypertrophic scar หรือแผลเป็นนูนเกินขึ้นมาในช่วงระยะ 6 เดือนแรก จากนั้นก็จะค่อยๆ ยุบลง และจะกลับเข้าสู่แผลเป็นคงที่ (stable scar) และจะค่อยๆ มีลักษณะใกล้เคียงแผลเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงประมาณ 1 ปีต่อมา สามารถพบแผลเกิดใหม่ในตำแหน่งที่ความตึงมาก เช่น บริเวณข้อต่อหรือกลางหน้าอก
    • แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลง : depressed scar หรือแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลง จะมีลักษณะเป็นร่อง หรือเป็นรูบุ๋มลึกลงไปอยู่ด้านใต้ผิวหนัง
    • แผลเป็นที่มีการหดรั้ง : scar contracture หรือแผลเป็นที่มีการหดรั้ง แผลเป็นชนิดนี้จะสามารถดึงรั้งอวัยวะบริเวณแผลให้เกิดการผิดรูปไปจากปกติได้
แผลกลายเป็นคีลอยด์ได้อย่างไร

แผลกลายเป็นคีลอยด์ได้อย่างไร

คีลอยด์เป็นรอยแผลเป็น ที่มีลักษณะเป็นแผลนูนและมีการขยายใหญ่ออกนอกขอบเขตของบาดแผลเดิม โดยแผลจะมีสีแดง สีคล้ำ หรือสีช้ำ บางรายมีอาการคันและอาการเจ็บร่วมด้วย เพราะรู้สึกว่าผิวตึง โดยสาเหตุการเกิดแผลคีลอยด์นั้น มาจากความผิดปกติในกระบวนการรักษาแผล โดยในระยะเวลานั้นเอง ร่างกายได้สร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนที่มากเกินไป ทำให้เกิดความไม่สมดุลของคอลลาเจน จนกระทั่งกลายเป็นแผลนูนในท้ายที่สุด ซึ่งแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกที่พบส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นรอยแผลเป็นแบบคีลอยด์

วิธีลบแผลเป็นทั่วไปหลังเสริมหน้าอก

วิธีลบแผลเป็นทั่วไปหลังเสริมหน้าอก

ถึงแม้ว่าคุณจะมีแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะด้วยวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันนี้ เรามีวิธีที่สามารถช่วยลบเลือนแผลเป็นให้ดูจางลงได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

วิธีอนุรักษ์ (conservative)

วิธีอนุรักษ์ หรือว่า conservative เป็นวิธีการรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก โดยไม่ต้องผ่าตัด ซื่งเป็นวิธีการเบื้องต้นที่แพทย์แนะนำให้ใช้เป็นวิธีแรก ด้วยการใช้แผ่นซิลิโคนที่เป็นแผ่นเจลใสๆ มาปิดไว้บนแผลผ่าตัด หลังจากที่แผลหายดีแล้วประมาณ 1 อาทิตย์ โดยการปิดแผลนี้ ควรให้ปิดแผ่นซิลิโคนตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง นาน 3 เดือน เพราะจะช่วยให้บริเวณผิวหนังที่อยู่ใต้แผ่นซิลิโคนนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น แถมยังเป็นการช่วยลดการอักเสบได้อีกวิธีหนึ่งด้วย

การใช้แผ่นเทปเหนียว (microporous tape)

สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก เราสามารถใช้การแปะแผ่นเทปเหนียว หรือว่า microporous tape แทนแผ่นซิลิโคนได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถแปะแผ่นเทปเหนียวลงไปบนบาดแผลโดยตรงได้เลย ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังบริเวณใต้ต่อเทปนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้นไม่ต่างจากแผ่นซิลิโคน และยังสามารถลดการอักเสบลงได้อีกด้วย

หากแผลกลายเป็นคีลอยด์สามารถรักษาได้หรือไม่

หากแผลกลายเป็นคีลอยด์สามารถรักษาได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนั้น เรายังไม่มีวิธีที่ช่วยรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกแบบได้ผลแน่นอนและสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน โดยการรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกที่ทำได้ในตอนนี้ อาจทำได้เพียงช่วยทำให้ลักษณะขอคีลอยด์ดูดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกยังมีโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นแบบคีลอยด์ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากรับการรักษาแล้ว ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ใช้วิธีรักษาเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย เพื่อรักษาแผลเป็นแบบคีลอยด์ให้เห็นผลมากที่สุด

การฉีดคอร์ติโซนสเตียรอยด์

การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) เป็นการรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกด้วยวิธีมาตรฐาน โดยแพทย์จะฉีดยา Triamcinolone acetonide ผสมยาชาเพื่อลดความเจ็บ เข้าไปในบริเวณที่เป็นแผลคีลอยด์โดยตรง ซึ่งตัวยาจะออกฤทธิ์ลดการอักเสบ และยังจะช่วยยับยั้งการทำงานของเซลล์ผิวทุกชนิด หลังฉีดจากฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว แผลคีลอยด์จะยุบลง และมีความนุ่มขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งหายเจ็บหายคัน โดยมีระยะห่างในการฉีดยาประมาณ 1 เดือน ถึง 1 เดือนครึ่ง หากแผลคีลอยด์ดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยสามารถติดตามการรักษาในระยะเวลาที่นานมากขึ้นได้

การผ่าตัด

การผ่าตัด เป็นการรักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก ด้วยการลดขนาดของแผล โดยการตัดแผลออกให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งแพทย์และคนไข้มักเลือกวิธีผ่าตัด ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นแล้วผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร หรือสามารถใช้เทคนิคนี้กับแผลคีลอยด์บริเวณตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ อาทิ แผลคีลอยด์ติ่งหูที่มีขนาดใหญ่มาก แพทย์จะทำการรักษาโดยการตัดออกทั้งหมดหรือตัดบางส่วนออกให้เล็กลง อย่างไรก็ตาม รักษาแผลเป็นหลังเสริมหน้าอกด้วยการผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นด้วย เพราะการรักษาแผลผ่าคีลอยด์ด้วยวิธีการนี้ ยังมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ถึงจะผ่าออกไปแล้วก็ตาม

การเลเซอร์

ผู้ที่ต้องการรักษาแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอก สามารถเลือกรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ ในความยาวช่วงคลื่น 1064 ซึ่งจะไปกระตุ้นหลอดเลือดใต้ผิวหนังได้ลึกขึ้น โดยจะทำให้การเรียงตัวของคอลลาเจนนั้นเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น

การใช้เจลหรือแผ่นซิลิโคนลดแผลเป็น

เพื่อป้องกันแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอก การใช้เจลหรือแผ่นซิลิโคนลดแผลเป็นก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยการรักษาด้วยวิธีนี้นั้นเป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บ แต่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือน และมีความยากลำบากที่จะให้แผ่นซิลิโคนนี้คงอยู่กับที่ แต่ก็เป็นอีกวิธีที่มีคนนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก

ซึ่งตัวอย่างเจลหรือครีมทารอยแผลเป็น ที่ Jarem Clinic แนะนำ มีดังต่อไปนี้

Stratamed Advanced Film-Forming Wound Dressing

เจลลดรอยแผลเป็น Stratamed Advanced Film-Forming Wound Dressing ช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่แผลเปิด มีสาร Polysiloxane แห้งเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ พอแห้งแล้วจะเซ็ตตัวเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดการสูญเสียน้ำ (semi-occlusive) แถมยังถ่ายเทออกซิเจนได้ดี เพราะสามารถป้องกัน cell hypoxia จึงสามารถป้องกันบาดแผลจากสิ่งแปลกปลอมภายนอกได้เป็นอย่างดี ทำให้การสมานแผลให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ เพราะแบคทีเรียไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้นั่นเอง

PROVAMED SCAR SILICONE

ครีมทารอยแผลเป็น PROVAMED SCAR SILICONE เป็นครีมทาแผลคีลอยด์ Provamed ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีรอยแผลเป็น สามารถใช้ได้กับแผลที่เกิดจากการผ่าตัดทุกชนิด เนื้อสัมผัสเป็นเจลซิลิโคนใส ที่มีส่วนผสมของ Epitensive ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืช (Plant-Epidermal Growth Factor), Non-GMO จึงมีโปรตีนที่ใกล้เคียงกับโปรตีนในผิว ทำให้ผิวค่อยๆ เรียบเนียนขึ้น และอ่อนนุ่มลง และมี Vitamin E ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น

Dermatix Ultra

Dermatix Ultra Gel เนื้อเจลบางเบา ไร้กลิ่นใช้ได้กับแผลเป็น, แผลนูน, แผลผ่าตัด, แผลไฟไหม้ มี CPX ที่ช่วยให้แผลเป็นอ่อนนุ่ม และ Vitamin C ช่วยให้สีจางลง เพียงทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างต่ำ 2-3 เดือน

Hanall Bearoban Ointment

ครีมรักษารอยสิว รอยแผลเป็น Hanall Biopharma Bearoban Ointment ช่วยรักษาการอักเสบของผิว ยับยั้งการติดเชื้อแบคทีเรียบนผิว รอยผื่น รอยสิวต่างๆ รวมทั้งช่วยสมานแผลอักเสบ ให้หายไวยิ่งขึ้น เนื้อคล้ายๆ ขี้ผึ้ง ใช้ทาผิว ช่วยลดรอยสิว รอยดำ รอยแดงต่างๆ รักษาหลุมสิว ผิวอักเสบ ให้ผิวเรียบเนียน นุ่มขึ้น

Puricas Plus Advanced Dragon’s Blood Scar Gel

Puricas Plus Advanced Dragon’s Blood เป็นเจลแผลเป็นจากสารสกัดดราก้อนบลัดสูตรเข้มข้น ผสานประสิทธิภาพจากอนุพันธ์วิตามินซี และอี ช่วยลบเลือนรอยแผลเป็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การใช้แผ่นผ้าแปะกด

เพื่อป้องกันแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอก การใช้เจลหรือแผ่นผ้าแปะกดเป็นก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยการรักษาด้วยวิธีนี้นั้น เป็นการรักษาโดยการใช้ผ้ายืดที่ตัดเพื่อกดทับบาดแผล (Pressure garment therapy) โดยจะใส่แนบไว้ที่บริเวณแผลคีลอยด์เข้าไปให้เรียบสนิทหลังจากเพิ่งผ่าตัดใหม่ๆ เพื่อช่วยให้แผลไม่เกิดการนูนซ้ำ

การรักษาด้วยความเย็นจัด

การรักษาด้วยความเย็นจัด ใช้กับแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอกที่มีขนาดเล็ก โดยจะทำให้คีลอยด์มาสัมผัสกับความเย็นสูงจากไนโตรเจนเหลว ซึ่งตัวความเย็นจัดจะช่วยให้คีลอยด์แบนเรียบลงได้

การฉีดอินเทอร์เฟอรอน

การฉีดอินเทอร์เฟอรอนสามารถนำใช้กับแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอกได้ เพราะมันเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ช่วยกำจัดไวรัส แบคทีเรีย เชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ออกไป จึงช่วยให้รอยแผลเป็นนั้นจางหรือมีขนาดเล็กลงได้

ฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซิน

การฉีดฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซินสามารถนำใช้กับแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอกได้ เพราะยา 2 ชนิดนี้เป็นยาต้านมะเร็ง แต่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ด้วยการฉีดชะลอการก่อตัวของคีลอยด์ได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะใช้เดี่ยวๆ เพียงตัวเดียวหรือใช้ควบคู่ไปกับการฉีดสเตียรอยด์ก็ได้ แต่การฉีดฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซินอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บที่คีลอยด์ ตลอดจนผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีซีดลง รวมไปถึงการที่ผิวถูกทำลายเสียหายได้ การรักษาด้วยการฉีดฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซินจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

การฉายรังสี

การฉายรังสีมักใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอก เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ โดยจะนำมารักษาบางส่วนของร่างกายที่ห่างไกลจากอวัยวะภายใน เช่น แขนหรือขา เท่านั้น

การใช้ยาเรตินอยด์

การรักษาแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอกด้วยการใช้ยาเรตินอยด์ไม่เป็นที่นิยมเพราะอาจไม่ได้ผลเทียบเท่าวิธีอื่นๆ เพราะการใช้ยาเรตินอยด์มักใช้รักษาคีลอยด์ที่เกิดขึ้นจากรอยสิว ด้วยการทาเรตินอยด์ลงบนแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นและคีลอยด์ทำได้อย่างไร?

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นและคีลอยด์ทำได้อย่างไร?

วิธีการดูแลแผลเป็นคีลอยด์หลังเสริมหน้าอกมีอยู่มากมายหลายวิธี หากเรารู้จักดูแลตัวเอง และเลือกที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แผลที่ออกมาย่อมสวยและดูดี คุ้มค่าสำหรับความพยายามของเราอย่างแน่นอน

ปิดแผลไว้ด้วยปลาสเตอร์กันน้ำ

การปิดแผลไว้ด้วยปลาสเตอร์กันน้ำนั้น เป็นการป้องกันการเกิดแผลเป็นที่สำคัญ เพราะจะช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของแผลได้ นอกจากนี้ การปิดแผลด้วยปลาสเตอร์ป้องกันแผลเป็นและคีลอยด์ได้อีกทางหนึ่ง เพราะเป็นการกดแผลเอาไว้ให้เรียบตั้งแต่ต้น จะได้ไม่มีแผลนูนขึ้นมาภายหลังได้อีก

ไม่แกะปลาสเตอร์ออกเอง

ถ้าอยากแผลสวย ไม่แกะปลาสเตอร์ออกเอง เพราะการแกะปลาสเตอร์เองอาจจะทำให้แผลฉีกขาด หรือการเปิดแผลออกตอนที่แผลยังไม่แห้งสนิท อาจจะนำไปสู่การติดเชื้อ จนทำให้เกิดแผลเป็นและคีลอยด์ขึ้นมาได้ในภายหลัง

เลี่ยงอาหารบางประเภท

การกินอาหารบางประเภทที่แสลงจะส่งผลเสียต่อร่างกายและแผลของคุณ หากรู้ตัวว่าแพ้อาหารทะเล นมสด ถั่ว ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ให้ดี นอกจากนี้ ยังควรระมัดระวังในการทานอาหารต่างๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารประเภทหมักดอง เพราะอาจทำให้ติดเชื้อหรือมีสารเคมีและสารพิษปะปนได้ง่าย ซึ่งจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลเน่าหรือแห้งช้ากว่าที่ควรจะเป็นและจะทำให้เกิดแผลเป็นและคีลอยด์ได้ในเวลาต่อมา

อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : 7 อาหารแสลงหลังเสริมหน้าอก

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

การทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จะช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นได้ อย่างโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก ผักผลไม้ต่างๆ ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ตลอดจนคาร์โบไฮเดรตชนิดดีอย่างข้าวกล้องไม่ขัดสี ก็จะมีช่วยในการสร้างเซลล์ผิวและเยื่อหุ้มผิวใหม่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง ทำให้แผลสวย ช่วยป้องกันแผลเป็นและคีลอยด์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์

ควรงดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันแผลเป็นและคีลอยด์ เนื่องจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่จะทำลายเซลล์ที่จะเข้าไปซ่อมแซมบริเวณแผลผ่าตัดให้ลดน้อยลง และทำให้เลือดที่มาเลี้ยงแผลผ่าตัดน้อยลง ส่วนแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้น ทำให้ผิวหนังขาดเลือดและยังทำให้เสี่ยงติดเชื้อที่แผลด้วย เราจึงควรงดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและหลังการเข้ารับการทำศัลยกรรม

อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : คุณรู้หรือไม่? “บุหรี่” ภัยเงียบศัลยกรรม

เสริมหน้าอกที่ Jarem Clinic แผลเล็กสังเกตได้ยากและเป็นธรรมชาติ

เสริมหน้าอกที่ Jarem Clinic แผลเล็กสังเกตได้ยากและเป็นธรรมชาติ

เสริมหน้าอกที่ Jarem Clinic แผลเล็กสังเกตได้ยากและเป็นธรรมชาติได้ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้เทคนิคพิเศษในการผ่าตัดเสริมหน้าอก และช่วยเลือกขนาดซิลิโคนที่ไม่ใหญ่จนเกินตัว ทำให้สาวๆ สามารถเปล่งประกายความงามได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทางคลินิก Jarem Clinic นั้น มีทีมแพทย์ 2 ท่านเป็นผู้ร่วมกันก่อตั้ง มีทั้ง หมอหลุยส์ นพ. พลเดช สุวรรณอาภา ศัลยแพทย์เฉพาะทางเสริมหน้าอก และ คุณหมอยุ้ย พญ. ณัฏฐ์ธยาน์ สินประเสริฐกูล จักษุแพทย์เฉพาะทางตกแต่งและเสริมสร้าง วุฒิบัตรแพทย์สภา โดยคุณหมอทั้ง 2 ท่านดูแลคนไข้อย่างใส่ใจทุกเคส มีการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดและการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด นัดติดตามผลเพื่อตรวจเช็กหลังการผ่าตัดเป็นระยะ เพื่อความปลอดภัยอย่างมีขั้นตอน คุณจึงมั่นใจได้ว่า มาศัลยกรรมที่คลินิก Jarem Clinic นั้น จะได้ทั้งความสวยงามและความปลอดภัยควบคู่กันไป

หากต้องการดูผลงานยืนยัน ว่าการทำศัลยกรรมหน้าอกของ หมอหลุยส์ นพ. พลเดช สุวรรณอาภาที่ Jarem Clinic ว่าทำออกมาแล้วแผลเล็กสังเกตได้ยากและเป็นธรรมชาติจริงหรือไม่ สามารถตามไปดูภาพหน้าอกสวยๆ ของสาวๆ เหล่านี้ได้เลยที่ รีวิวศัลยกรรมหน้าอก

ถึงแม้ว่าแผลเป็นคีลอยด์จะเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป ในช่วงสมานแผลจากการผ่าตัด จนเกิดผลนูนแดงขึ้นมา ซึ่งพบได้มากในแผลเป็นหลังเสริมหน้าอก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะหลี่กเลี่ยงได้ แต่ด้วยวิทยาการแพทย์ในปัจจุบัน เราสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีต่างๆ หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดคอร์ติโซนสเตียรอยด์ การผ่าตัด การเลเซอร์ การใช้เจลหรือแผ่นซิลิโคนลดแผลเป็น การใช้แผ่นผ้าแปะกด การรักษาด้วยความเย็นจัด การฉีดอินเทอร์เฟอรอน การฉีดฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซิน การฉายรังสี และการใช้ยาเรตินอยด์

บทความโดย

นพ. พลเดช สุวรรณอาภา

ศัลยแพทย์ เฉพาะทางเสริมหน้าอก

"แผลเป็น คีรอยด์ หลังเสริมหน้าอกเป็นสิ่งต้นๆที่คนไข้เสริมหน้าอกกังวล ยิ่งเสริมหน้าอกใต้ราวนมยิ่งเห็นชัด แต่ไม่ทุกคนที่จะเป็นแผลเป็นนูนหรือเป็นคีรอยด์ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ แต่สิ่งที่สำคัญหากไม่อยากเกิดคีรอยด์หรือแผลเป็นนูนก็คือ การดูแลแผลหลังผ่าตัดที่ดีสำคัญที่สุด"

บทความเกี่ยวข้อง