เปรียบเทียบชัดๆ ! Dual Plane คืออะไร ต่างจากการทำอกแบบอื่นยังไง

หน้าปกบทความศัลยกรรมหน้าอกแบบ Dual Plane

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเสริมหน้าอกให้มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นมีหลายวิธี แต่วิธีที่ได้คนส่วนใหญ่รู้จักและได้รับความนิยมแพร่หลายมากที่สุด คือ การเสริมหน้าอกด้วยการผ่าตัดใส่เต้านมเทียมหรือที่หลายคนเรียกว่าการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน เพราะวิธีนี้สามารถเลือกรูปทรงและขนาดหน้าอกได้ตามต้องการ

อย่างไรก็ตามในการเสริมหน้าอกนอกจากต้องคิดว่าควรทําหน้าอกแบบไหนดีแล้ว อีกหนึ่งเรื่องไม่ควรมองข้ามคือ การวางตำแหน่งของซิลิโคน ซึ่งมีให้เลือกวางซิลิโคนด้วยกัน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ การเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ คือ การวางซิลิโคนไว้ติดกับชั้นเนื้อหน้าอก การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ คือ การวางซิโดนไว้ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ และการเสริมหน้าอก Dual Plane คือ การวางซิลิโคนในตำแหน่งเหนือกล้ามเนื้อบางส่วนและใต้กล้ามเนื้อบางส่วน ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียและเหมาะสำหรับสรีระร่างกายที่แตกต่างกัน

การเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ

1. การเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ

การเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular Plane) คือ การเสริมหน้าอกโดยการวางซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อ หรือระหว่างชั้นเนื้อหน้าอกและชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งลำดับการเรียงตัวของซิลิโคน และชั้นผิวหนังของเรา จะได้แก่ ผิวหนัง เนื้อหน้าอก ซิลิโคน ชั้นกล้ามเนื้อ ชั้นซี่โครง อวัยวะภายใน นั่นเอง

ข้อดี

  • ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาผ่าน้อย การเสริมหน้าอกเหนือหน้าอกจะเป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อนและใช้เวลาผ่าตัดน้อย เพราะไม่ได้ผ่าลงลงไปลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกเจ็บน้อย แผลหายเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดวางตำแหน่งซิลิโคนแบบอื่น
  • เนื้อหน้าอกขยายได้มาก เมื่อพักฟื้นจนแผลหายดีแล้ว หน้าอกจะกระชับได้รูปสวย และไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของซิลิโคนที่ใช้ เพราะเนื้อหน้าอกสามารถขยายได้มากกว่าการวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ

ข้อจำกัด

  • เจอขอบซิลิโคนได้ง่าย เวลาจับให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ มีโอกาสสัมผัสเจอขอบซิลิโคนได้ง่าย
  • เกิดพังผืดรัดตัวรอบซิลิโคน ในอนาคตมีโอกาสเกิดพังผืดรัดตัวรอบซิลิโคนได้สูง “Capsular Contracture” ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาซิลิโคนแข็งผิดรูป
  • ซิลิโคนเคลื่อนจากตำแหน่งได้ หากเลือกใช้ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อย มองเห็นขอบซิลิโคน หรือซิลิโคนเคลื่อนจากตำแหน่งได้
  • เนื้อรอบซิลิโคนเป็นริ้ว เป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับคนผิวบาง ผิวไม่ดี และคนที่มีเนื้อหน้าอกน้อย เพราะไม่มีกล้ามเนื้อมาหุ้มก้อนซิลิโคนจะทำให้เห็นขอบซิลิโคนได้ชัดเจน รวมทั้งในอนาคตอาจเกิดปัญหาเนื้อรอบซิลิโคนเป็นริ้วอีกด้วย

เหมาะกับใคร

การเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อเหมาะกับคนที่เนื้อหน้าอกอยู่แล้ว เพราะจะทำให้หน้าอกได้ทรงสวยและมีรูปร่างชัดเจน คนที่ต้องการทำหน้าอกขนาดใหญ่ และคนที่มีเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกน้อย
การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ

2. การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ

การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Plane) คือ การเสริมหน้าอกโดยการวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ หรือระหว่างชั้นกล้ามเนื้อและชั้นซี่โครง ซึ่งลำดับการเรียงตัวระหว่างซิลิโคนกับชั้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ และอวัยวะของเรา ได้แก่ ผิวหนัง เนื้อหน้าอก ชั้นกล้ามเนื้อ ซิลิโคน ชั้นซี่โครง อวัยวะภายใน นั่นเอง

ข้อดี

  • หน้าอกดูเป็นธรรมชาติ ถึงแม้การทำนมใต้กล้ามเนื้อจะได้รูปทรงหน้าที่ไม่ชัดเจนเท่าการเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ แต่ก็ได้เป็นธรรมชาติที่มากกว่า หมดปัญหาเรื่องเห็นขอบซิลิโคน นมเป็นบล็อก อีกทั้งเวลาสัมผัสยังไม่ทำให้รู้สึกถึงก้อนซิลิโคนที่อยู่ด้านใน เพราะถูกหุ้มด้วยชั้นของกล้ามเนื้อ
  • โอกาสเกิดพังผืดในระยะยาวน้อย ในระยะยาวมีโอกาสเกิดปัญหาพังผืด ซิลิโคนพลิก หรือซิลิโคนเคลื่อนน้อย เพราะมีส่วนของชั้นกล้ามเนื้อยึดซิลิโคนเอาไว้
  • สามารถให้นมบุตรได้ เพราะซิลิโคนอยู่ห่างจากต่อมนำ้นม

ข้อจำกัด

  • ต้องใช้แพทย์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน เพราะต้องผ่าตัดลงไปใต้ชั้นกล้ามเนื้อ จะมีเส้นเลือดและอวัยวะซับซ้อนอันตราย ใกล้เยื่อหุ้มปอดแพทย์ต้องผ่าตัดด้วยความระมัดระวัง ต้องมีความชำนาญ ดังนั้นในระหว่างผ่าตัดคนไข้ต้องนิ่งไม่ขยับจึงไม่สามารถฉีดแค่ยาชาหรือฉีดยาหลับได้ ต้องใช้เครื่องดมยาสลบเพื่อลดความเจ็บปวดของผู้เข้ารับการผ่าตัด แต่การดมยาสลบมีความเสี่ยงจึงต้องดำเนินการโดยวิสัญญีแพทย์ ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง
  • ใช้เวลาในการพักฟื้น โดยจะใช้เวลาพักฟื้นนานประมาณ 3 – 6 เดือน ซึ่งนานกว่าการวางซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อ เพราะเป็นการผ่าตัดเปิดกล้ามเนื้อ จึงต้องปล่อยให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูและขยายตัว
  • ขนาดซิลิโคนต้องพอดี มีข้อจำกัดเรื่องของขนาดซิลิโคน ไม่สามารถใส่ซิลิโคนชิ้นใหญ่ได้
  • ซิลิโคนอาจเคลื่อนที่ได้ ถ้าขยับกล้ามเนื้อหัวไหล่แรงหรือเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกมากเกินไป อาจทำให้ก้อนซิลิโคนเคลื่อนจากตำแหน่งที่วางไว้ได้ตามการเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าอก หรือเรียกว่า Breast Animation Deformity

เหมาะกับใคร

การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อเหมาะกับคนที่มีเนื้อหน้าอกน้อย คนที่ต้องการหน้าอกที่มีความเป็นธรรมชาติ และไม่ติดปัญหาเร่งรีบเรื่องเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัด

การเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane

3. การเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane

สำหรับการเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane คือ การผสมผสานการวางซิลิโคนแบบเหนือและใต้กล้ามเนื้อเข้าด้วยกัน โดยส่วนซิลิโคนส่วนบนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ในขณะส่วนล่างจะอยู่เหนือกล้ามเนื้อติดกับชั้นเนื้อหน้าอก ทำให้การเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าการเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อบางส่วนและใต้กล้ามเนื้อบางส่วน

ข้อดี

  • ได้หน้าอกที่มีความเป็นธรรมชาติ ส่วนฐานมีความโค้งมน เวลาสัมผัสให้ความรู้สึกนุ่ม ไม่แข็ง จึงให้คล้ายหน้าอกจริงมากกว่า
  • ในระยะยาวปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยน้อยกว่า และปัญหานมเป็นบล็อก ผิวเป็นริ้วรอบซิลิโคน และพังผืด เกิดได้น้อยกว่าวิธีอื่นๆ
  • ช่วยลดปัญหาซิลิโคนเคลื่อนที่จากตำแหน่งเวลาขยับกล้ามเนื้อหัวไหล่หัวไหล่แรงหรือเกร็งหน้าอก ไม่พบปัญหา Breast Animation Deformity
  • สามารถให้นมบุตรได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายได้เช่นเดียวกับการเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ

ข้อจำกัด

เช่นเดียวกับการวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ การเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane คือ การผ่าตัดที่ซับซ้อน จึงต้องอาศัยทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดประเภทนี้โดยเฉพาะ

ที่สำคัญต้องวางซิลิโคนในตำแหน่งที่เหมาะสม ตัดกล้ามเนื้อ และเนื้อหน้าอกมากกว่าการเสริมหน้าอกแบบอื่น นอกจากนั้นยังต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน 3 – 6 เดือนเช่นเดียวกัน

เหมาะกับใคร

เนื่องจากการเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane คือ การผสมระหว่างสองวิธีร่วมกันจึงสามารถทำได้ทั้งคนที่มีเนื้อหน้าอกมาก คนที่มีเนื้อหน้าอกน้อย และคนที่อยากลดปัญหาที่อาจขึ้นหน้าอกในอนาคตอีกด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกโดยใช้ซิลิโคน

ขั้นตอนการผ่าตัดทำหน้าอกโดยใช้ซิลิโคนมีอะไรบ้าง

การเลือกว่าจะทำหน้าอกแบบไหนดี ระหว่างการเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ การเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ หรือการเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane นั้น ปัจจัยที่ใช้ร่วมพิจารณา คือ ความต้องการ ความหนาของเนื้อหน้าอก ความหย่อนคล้อยของหน้าอก และลักษณะหน้าอกของผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอก

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกผ่าตัดด้วยวิธีไหน ขั้นตอนในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกัน ซึ่งรายละเอียดแต่ขั้นตอน มีดังนี้

  • ขั้นตอนการตรวจสุขภาพ ในขั้นตอนแรกผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทุกคนต้องเข้ารับการประเมินด้านร่างกายและตรวจสอบเต้านม โดยการเอ็กซเรย์ทรวงอก ตรวจเลือด ตรวจสุขภาพ และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งหลังจากตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะประเมินว่าควรผ่าตัดแบบไหน บริเวณส่วนใดของร่างกาย ขนาดที่เหมาะสม พร้อมทั้งอธิบายการผ่าตัดให้กับผู้รับการผ่าตัดอย่างละเอียดและแจ้งความเสี่ยงในกรณีที่ผู้ผ่าตัดมีโรคประจำตัว
  • การปฏิบัติตัวในวันเข้ารับการผ่าตัด สำหรับการปฏิบัติตัวในวันก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรพักผ่อนให้เพียงพอ งดอาหารและน้ำดื่มอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 4 สัปดาห์ ห้ามทานยาวิตามิน สมุนไพร และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ส่วนวันที่ผ่าตัดให้เตรียมเสื้อผ้าและเสื้อชั้นในตัวใหญ่ใส่แล้วรู้สึกสบายตัวมาด้วย เพื่อใส่กลับหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย
  • การผ่าตัด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม การผ่าตัดมักจะเริ่มต้นที่วิสัญญีแพทย์ให้ยาสลบกับผู้เข้ารับการผ่าตัด หลังจากยาสลบออกฤทธิ์เรียบร้อยแล้ว แพทย์จะผ่าไปที่บริเวณใต้รักแร้ ใต้ราวนม หรือรอบปานนม เพื่อเปิดช่องสำหรับนำซิลิโคนใส่เข้าไป จากนั้นจึงเย็บปิดแผล ซึ่งการผ่าตัดเสริมหน้าอกโดยใช้ซิลิโคนจะใช้เวลาประมาณ 1.30 – 2 ชั่วโมงเท่านั้น
  • การดูแลหลังผ่าตัด หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะให้คนไข้นอนบนหมอนที่ความสูง 45 องศา และให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ รวมทั้งติดตั้งกระบอก Negative Pressure เพื่อระบายเลือด ซึ่งอาจจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป คนไข้ต้องระมัดระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ ใส่ผ้าพันแผลหรือซัพพอร์ตบราตลอดเวลาในช่วงอาทิตย์แรกหลังการผ่าตัด และงดทานของที่เสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อ อย่างของหมักดอง ของดิบ อาหารทะเล รวมไปถึงการสูบบุหรี่และของหมักดองด้วย
ซิลิโคนเสริมหน้าอก

การเพิ่มขนาดหน้าอกใช้ได้แค่ซิลิโคนใช่หรือไม่?

นอกจาการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนแล้ว ยังมีการเสริมหน้าอกด้วยไขมันของตัวเองด้วย ซึ่งวิธีนี้ ทางแพทย์จะนำไขมันส่วนเกินจากบริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นแขน และต้นขา มาฉีดที่หน้าอกเพื่อเพิ่มขนาด ข้อดีคือ มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นใช้ไขมันส่วนเกินจากร่างกายของตัวเองมาฉีดเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องพักฟื้นนาน อีกทั้งหลังจากไขมันที่ฉีดเข้าไปผสานเป็นเนื้อเดียวกับไขมันเดิมแล้ว จะได้หน้าอกที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ

การเสริมหน้าอกโดยใช้ไขมัน มีข้อเสียตรงที่เมื่อน้ำหนักลดลง เซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปก็จะลดตามลงไปด้วย และปกตินิยมฉีดที่ 200 – 300 CC เท่านั้น จึงไม่สามารถเสริมหน้าอกเพิ่มขึ้นเพียง 1 – 2 ไซส์เท่านั้น โดยการเสริมหน้าอกด้วยไขมันเหมาะสำหรับคนหน้าอกเล็กที่มีไขมันส่วนเกิน คนที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย คนที่มีปัญหาสุขภาพไม่สามารถเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนได้ และคนที่ไม่อยากเสริมหน้าอกด้วยวิธีผ่าตัด เป็นต้น

เรื่องที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำหน้าอก

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการเข้าถึงความรู้ทางการแพทย์ ทำให้คนที่อยากเสริมหน้าอกกังวลน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการเสริมหน้าอกมากมาย อย่างเช่น

เสริมหน้าอกยิ่งใหญ่ ยิ่งดี คุ้มกว่า

บางคนอาจคิดว่าถ้าทำแล้วทำใหญ่ๆ ไปเลย จะได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและจะได้ไม่เสียเวลาทำเพิ่ม นอกจากนั้นยังบางคนเชื่ออีกว่าทำแล้วสักพักหน้าอกจะยุบลง ถ้าทำเล็กสักพักหน้าอกก็จะเล็กลง แต่ในความจริงแล้วควรทำหน้าอกให้พอดีกับรูปร่าง ไม่เล็กไปหรือใหญ่ไป จะทำให้ดูดีอย่างที่ต้องการ ส่วนความเชื่อที่ว่าหน้าอกจะเล็กเมื่อผ่านไปสักระยะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยในระยะแรกหลังการผ่าตัดร่างกายจะมีอาการบวม เมื่อแผลหายแล้วเป็นธรรมดาที่หน้าอกจะลดลง ไม่ได้เกิดจากการยุบตัวของซิลิโคนแต่อย่างใด

เสริมหน้าอกแล้ว ไม่สามารถให้นมบุตรได้

โดยปกติแล้ว ในการเสริมหน้าอกนั้น จะมีทั้งลักษณะเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเหนือ และ เสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ ซึ่งการเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อนั้น ไม่มีผลกับการให้นมบุตรแต่อย่างใด เพราะ การใส่ซิลิโคนในบริเวณนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือส่งผลกระทบกับเนื้อนมที่มีต่อมน้ำนมเลย จึงสามารถเสริมหน้าอกและให้นมบุตรได้ตามปกติ

ส่วนการเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อนั้นอาจส่งผลกระทบ เพราะว่าตัวซิลิโคนจะอยู่บริเวณบนเนื้อนม เมื่อมีบุตร จะส่งผลให้เนื้อส่วนนั้นขยายใหญ่ ทำให้รู้สึกตึงเมื่อให้นมลูก และอาจทำให้เสียทรงได้ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

เสริมหน้าอกทำให้เป็นมะเร็งเต้านมได้

การเสริมหน้าอก มีโอกาสทำให้เกิดมะเร็งได้จริง แต่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่ใช่มะเร็งเต้านม เพราะว่า การเสริมหน้าอก มีโอกาสทำให้เกิดเซลล์มะเร็งซึ่งจะอยู่ระหว่างซิลิโคนกับพังผืด หรือ ตัวเซลล์จะอยู่ในน้ำรอบๆ ซิลิโคน สามารถรักษาได้ด้วยการเลาะพังผืด หรือเอาน้ำรอบๆ ซิลิโคนออก แล้วให้เคมีบำบัด ส่วนมะเร็งเต้านมนั้น เป็นเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในเนื้อหน้าอก มีวิธีการรักษา คือ ตัดชิ้นเนื้อออก แล้วรักษาโดยใช้การฉายแสงหรือเคมีบำบัด หรือตัดเต้านมออกทั้งหมด ในกรณีที่อาการอยู่ในระดับรุนแรง

โอกาสการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในการเสริมหน้าอกนั้น มีโอกาสอยู่ที่ 1 : 30,000 ราย และมีวิธีการรักษาที่ง่ายและปลอดภัยกว่ามะเร็งเต้านม

ความเชื่อผิดๆ ทั้ง 3 ข้อ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเสริมหน้าอก ซึ่งหากอยากรู้เพิ่มเติมแนะนำให้ดูคลิปความรู้ดี ๆ จากคุณหมอหลุยส์ นพ. พลเดช สุวรรณอาภา แพทย์ศัลยกรรมเฉพาะทางเสริมหน้าอก ที่อธิบายความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทำหน้าอกถึง 7 ข้อด้วยกัน

จะเห็นได้ว่าการเสริมหน้าอกในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธี ซึ่งมีข้อดีคือนอกจากช่วยให้คนอยากเสริมหน้าอกสามารถเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ของวิธีผ่าตัดที่เลือกยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับอกสวยคู่ใหม่ได้อีกด้วย สำหรับใครกำลังมองหาคลินิกเสริมหน้าอกที่เหมาะสำหรับคนอยากเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น แนะนำ Jarem Clinic คลินิกเสริมหน้าอกด้วยวิธี Dual Plane ซึ่งการเสริมหน้าอกด้วยวิธี Dual Plane คือ วิธีที่สามารถตอบโจทย์ทั้งคนเนื้ออกน้อยและเนื้ออกมาก ทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้ดูแลโดยนพ.พลเดช สุวรรณอาภาหรือ หมอหลุยส์ แพทย์ศัลยกรรมเฉพาะทางเสริมหน้าอกที่มากด้วยประสบการณ์ด้านการเสริมหน้าอก รวมทั้งประสบการณ์ด้านความงาม ออกแบบ และปรับรูปหน้า มั่นใจได้ทั้งในเรื่องของความงามและความปลอดภัย

นพ พลเดช สุวรรณอาภา,จาเรม คลินิก

บทความโดย

นพ. พลเดช สุวรรณอาภา

ศัลยแพทย์ เฉพาะทางเสริมหน้าอก

"Dual Plane เป็นเทคนิคผ่าตัดเสริมหน้าอกชนิดหนึ่งในหลายๆเทคนิค ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป แพทยต้องเลือกให้เหมาะสมกับคนไข้ และเทคนิคนี้เอง(DualPlane) ยังเป็นเทคนิคผ่าตัดที่ยากและซับซ้อนแพทย์ศัลยกรรมต้องมีประสบการณ์ ความชำนาญสูงผลการผ่าตัดจึงมีประสิทธิภาพเต็ม100%จริงๆ"

บทความเกี่ยวข้อง