ศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง ( Tummy Tuck )
รูปร่างที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง ไม่ใช่เพียงเรื่องของส่วนเว้าส่วนโค้งที่หลายคนอยากมี แต่อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้รูปร่างดูดีขึ้นได้คือการที่มีหน้าท้องราบเรียบ หลายคนอาจเคยได้ยินมาก่อนในรื่องของการตัดหนังหน้าท้องออก สำหรับผู้ที่รู้สึกไม่มั่นใจกับรูปร่างของตนเอง เนื่องจากหน้าท้องที่ไม่กระชับ มีรอยแตกลายหรือมีความหย่อนคล้อย อย่างไรก็ตามการตัดหนังหน้าท้อง อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับทุกคน
บทความนี้จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักว่าการศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้องคืออะไร มีจุดเด่น ข้อดี หรือข้อเสียอย่างไร และการศัลยกรรมตกแต่งหนังหน้าท้องนั้นเหมาะกับใครบ้าง เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจก่อนการเข้ารับการตัดแต่งหนังหน้าท้องนั่นเอง
เนื้อหาที่น่าสนใจ
ศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง คืออะไร?
การศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง ( Tummy Tuck ) คือการตัดแต่งหนังหน้าท้องที่ยื่นออกมาเนื่องจากการสะสมของไขมันจนเกิดการหย่อนคล้อยของผิวหนังบริเวณหน้าท้อง เป็นการทำให้หน้าท้องดูกระชับและเปลี่ยนแปลงหน้าท้องให้ไม่ดูหนาหรือมีส่วนเกินบริเวณหน้าท้องส่วนกลางและหน้าท้องส่วนล่าง
ศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง เหมาะกับใครบ้าง?
การศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้องเป็นการช่วยเสริมรูปร่าง สร้างความมั่นใจ โดยเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต่างๆ ได้แก่
- ผู้ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรหรือการตั้งครรภ์ที่ทำให้ผิวหนังหน้าท้องที่เคยถูกขยายนั้นหย่อนคล้อยลง
- ผู้ที่เพิ่งผ่านการลดความอ้วน ทำให้ผิวหนังไม่กระชับ
- ผู้ที่มีหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังการดูดไขมัน
- ผู้ที่หน้าท้องแตกลาย
- ผู้ที่มีรอยแผลเป็นใต้สะดือ
ศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง ทำได้กี่แบบ
ในการตัดหนังหน้าท้องสามารถทำได้หลายวิธี โดยหลักๆ แล้วสามารถเลือกตามความเหมาะสมได้ 4 วิธี ด้วยกัน ได้แก่
1. การผ่าตัดหน้าท้องแบบเล็ก
หลังออกจากห้องผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะถูกย้ายมาห้องพักฟื้นเพื่อรอดูอาการ ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจมีอาการปวดที่หน้าอกเล็กน้อย แต่เนื่องจากยาสลบ และยาชายังไม่หมดฤทธิ์ จึงทำให้อาจไม่ได้สติเต็มที่ แต่หากมีอาการเจ็บปวดแผลผ่าตัดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งกับศัลยแพทย์ เพื่อประเมินอาการหลังเสริมอกทันที
2. การผ่าตัดหน้าท้องส่วนล่างทั้งหมด
การผ่าตัดหนังหน้าท้องทั้งหมด หรือ Full Abdominoplasty เป็นการศัลยกรรมหนังหน้าท้องที่ช่วยยกกระชับตั้งแต่ลิ้นปี่ไปจนถึงหน้าท้องด้านล่าง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยมากและไม่มีปัญหากับขนาดของแผลผ่าตัด เพราะเป็นการตัดหนังหน้าท้อง ที่แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ แล้วยังมีแผลรอบสะดือด้วย
3. การผ่าตัดแบบย้ายสะดือด้านใน
การผ่าตัดแบบย้ายสะดือด้านใน เป็นการผ่าตัดหนังหน้าท้องที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับท้องด้านล่าง และสามารถยกกระชับหนังหน้าท้องเหนือสะดือได้เล็กน้อย มีข้อดีอยู่ที่การไม่มีแผลเป็นรอบๆ สะดือ และยังเป็นการช่วยกระชับผิวหนังใต้สะดือได้มากขึ้น
4. ผ่าตัดหนังหน้าท้องคู่การดูดไขมัน
การผ่าตัดหนังหน้าท้องคู่กับการดูดไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมมาก จะทำการดูดไขมันผ่านแผลผ่าตัดหนังหน้าท้อง ควบคู่กับการตัดหนังหน้าท้อง จึงมีข้อดีคือสามารถเกิดรอยแผลเป็นได้น้อยมาก
ประเมินก่อนศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง ดูอะไรบ้าง?
หลายคนที่มีปัญหาผิวหน้าท้องไม่กระชับ มีรอยเหี่ยวย่น แตกลาย หรือมีไขมันส่วนเกินที่ทำให้พุงยื่น จึงเป็นเหตุทำให้มีผู้คนที่สนใจการตัดหนังหน้าท้องกันมาก เพราะจะช่วยให้หน้าท้องดูกระชับและมีรูปร่างที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การผ่าตัดหนังหน้าท้องมีประสิทธิภาพและช่วยแก้ไขปัญหาได้ดี จึงต้องผ่านการประเมินปัจจัยต่างๆ โดยแพทย์ ดังนี้
- ปริมาณไขมันส่วนเกินและหนังหย่อนคล้อย
- ความจำเป็นของการดูดไขมันหน้าท้อง
- ขนาดของแผลเป็น
- ลักษณะของสะดือที่ต้องการ
- เทคนิคในการผ่าตัดหนังหน้าท้อง
- เทคนิคการตกแต่งหนังหน้าท้องโดยประเมินจากความหย่อนของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหนังหน้าท้อง
เมื่อได้รับการประเมินและการพิจารณาเทคนิคที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดหนังหน้าท้องแล้ว สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดหนังหน้าท้อง เพื่อให้การตัดหนังหน้าท้องนั้นออกมาตรงกับความต้องการอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด และควรแจ้งแพทย์ถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
- งดใช้ยา ยาบำรุงหรืออาหารเสริม โดยควรปรึกษาแพทย์ถึงยาที่รับประทานเป็นประจำก่อนเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้อง
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวหรืออาการแพ้ต่างๆ อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- รับประทานอาหารอ่อนๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ขั้นตอนการศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง
เมื่อเข้ารับการผ่าตัดหนังหน้าท้อง จะมีขั้นตอนในการผ่าตัด ดังนี้
- เลาะแยกชั้นไขมันออกจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง ตั้งแต่ลิ้นปี่ถึงระดับชายโครง
- เย็บเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อหน้าท้องเข้าหากัน
- ดึงผิวหนังหน้าท้องให้ได้ลักษณะตามต้องการและตัดหนังหน้าท้องกับไขมันส่วนเกินออก
- เย็บปิดแผล
- ใส่สายระบายน้ำเหลืองและเลือดในการผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดหนังหน้าท้อง
เมื่อผ่านการเข้ารับการผ่าตัดหนังหน้าท้องแล้ว เพื่อให้ไม่เกิดอันตรายจากผลข้างเคียงหรือโอกาสเสี่ยงอื่นๆ รวมไปถึงเพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ควรมีการดูแลรักษาตนเองภายหลังการผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้อง ดังนี้
- พักฟื้นที่โรงพยาบาลจนกว่าจะสามารถนำสายระบายท่อน้ำเหลืองออกได้
- ไม่ยืดตัวมากเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดแผล ให้นอนงอตัว
- กดหมอนเข้ากับหน้าท้องเพื่อลดอาการสั่นสะเทือนเมื่อไอ จาม
- แผลที่บวมจะยุบภายใน 7-14 วันและหายเต็มที่ภายใน 3 เดือน หากมีอาการบวมผิดปกติให้ปรึกษาแพทย์
- หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การออกกำลังกายหรือการออกแรงที่จะส่งผลต่อกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างน้อย 1 เดือน
- ให้ใช้การเช็ดตัวแทนการอาบน้ำในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- ใช้ผ้ารัดหน้าท้องเพื่อช่วยพยุงหน้าท้อง
ข้อดีของการตัดแต่งหนังหน้าท้องมีอะไรบ้าง?
ข้อดีของการผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้อง มีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง โดยเป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับหน้าท้อง ได้แก่
- ปัญหาหนังหน้าท้องห้อย มีความหย่อนคล้อย
- ปัญหาผิวหนังหน้าท้องลาย โดยอาจเกิดจากการที่หน้าท้องขยายตัวจากการตั้งครรภ์หรือการที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- ปัญหาสะดือห้อยหรือตำแหน่งสะดือต่ำ
- การเพิ่มส่วนเว้าส่วนโค้งให้มากขึ้น
ความเสี่ยงของการตัดแต่งหนังหน้าท้อง
ถึงแม้ว่าการแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการศัลยกรรมหนังหน้าท้องจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่การตัดแต่งหนังหน้าท้อง ข้อเสียก็มีเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีทั้งความเสี่ยงทั่วไปและความเสี่ยงเฉพาะ
ความเสี่ยงทั่วไป
ความเสี่ยงทั่วไปของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง เช่น
- อาการปวดแผลจากการผ่าตัด
- การติดเชื้อหากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ
ความเสี่ยงเฉพาะ
ความเสี่ยงเฉพาะของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง เช่น
- เกิดแผลเป็นที่บวมหรือนูนมากกว่าปกติ
- มีน้ำเหลืองจากการผ่าตัดคั่งค้าง
- แผลหายยาก มีความผิดปกติบริเวณแผล
- อาการชาหน้าท้องที่นานกว่าปกติ
อยากทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ต้องดูอะไรบ้าง
เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่างๆ เหล่านั้น และเพื่อให้การผ่าตัดหนังหน้าท้อง ( Tummy Tuck ) เป็นไปได้อย่างราบรื่น จึงควรเลือกคลินิกที่ให้บริการการผ่าตัดหนังหน้าท้อง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน อย่างที่ Jarem Clinic ซึ่งทุกเคสของการผ่าตัดศัลยกรรมตัดแต่งหนังหน้าท้องจะได้รับการดูแลและให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการศัลยกรรม ด้วยเครื่องมือที่สะอาด บริการอย่างมีคุณภาพ ให้ผู้ที่สนใจได้รับบริการที่ประทับใจ ตั้งแต่การปรึกษาปัญหาและการติดตามอาการหลังผ่าตัด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการบนความปลอดภัย ที่สำคัญคือเป็นคลินิกที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้ และได้รับการไว้วางใจจากทุกเคสที่สามารถอ่านรีวิวได้อย่างชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจ
สรุป
การผ่าตัดหนังหน้าท้อง เพื่อยกกระชับผิวหน้าท้อง ช่วยเสริมรูปร่างให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สวยงามและลดรอยแตกลายนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ โดยแตกต่างกันทั้งรอยแผลเป็น ตำแหน่งในการผ่าตัดและการแก้ไขปัญหาที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป จึงจะต้องผ่านการประเมินและได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อให้สามารถเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับความต้องการและแก้ไขปัญหาได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย จึงต้องใส่ใจการเลือกคลินิกที่ได้รับความไว้วางใจ มีประสบการณ์การศัลยกรรมตกแต่งหนังหน้าท้องที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยงต่างๆ ในการผ่าตัด
คำถามเกี่ยวกับการศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง (FAQ)
สำหรับผู้ที่กำลังให้ความสนใจการผ่าตัดหนังหน้าท้อง บทความนี้จึงได้รวบรวมคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยมาไขข้อสงสัยเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้อง
การดูดไขมันต่างกับการตัดหนังหน้าท้องอย่างไร?
ความแตกต่างของการศัลยกรรมผ่าตัดหนังหน้าท้องและการดูดไขมันคือ การผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้องจะเป็นการตัดผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนคล้อยออกและยกกระชับผิวหนังเหล่านั้น ส่วนการดูดไขมันคือการดูดไขมันส่วนเกินที่ลดยากและสะสมตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
ผ่าตัดหนังหน้าท้องต้องพักฟื้นกี่วัน
การพักฟื้นหลังการผ่าตัดศัลยกรรมหนังหน้าท้องจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ – 1 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการฟื้นฟูที่แตกต่างกัน
ศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้องทิ้งรอยแผลไว้ไหม?
การศัลยกรรมตัดแต่งหนังหน้าท้องสามารถเกิดรอยแผลเป็นได้ แต่แพทย์จะทำการพูดคุยปรึกษาและซ่อนแผลการผ่าตัดไว้ในบริเวณขอบกางเกงชั้นในให้มากที่สุด
การตัดหนังหน้าท้องราคาเท่าไร?
การตัดหนังหน้าท้องราคาขึ้นอยู่กับคลีนิก การบริการรวมไปถึงเทคนิคที่ต้องใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรม หากเป็นเทคนิคที่จะต้องซ่อนแผลมากและแก้ไขปัญหาได้มากก็อาจส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามแต่คลินิก