นวัตกรรมด้านการเสริมความงามสมัยนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้สามารถเลือกรูปแบบหัตถการที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการยกกระชับใบหน้า ที่คนส่วนใหญ่อาจจะต้องคุ้นชื่อกับการทำ Thermage, Ulthera กับ HIFU Ultraformer III และคงสงสัยว่ามันมีความแตกต่างกันยังไง ไม่รู้ว่าปัญหาผิวแบบไหนเหมาะกับการทำหัตถการอะไร เราจะพาไปหาคำตอบกัน
เนื้อหาที่น่าสนใจ
HIFU Ultraformer III คืออะไร
ก่อนจะไปดูข้อแตกต่างของหัตถการแต่ละตัว ต้องรู้จักหัตถการแต่ละประเภทก่อน โดย HIFU Ultraformer III คือหัตการยกกระชับผิวหรือส่วนหย่อนคล้อยอื่นๆ โดยการใช้เครื่องกระชับผิวเฉพาะส่วน ส่งคลื่นสัญญาณ Focus Ultrasound ลงไปจนถึงชั้นผิว SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้เรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น ผิวจึงเนียนกระชับ ลดริ้วรอยลง
ส่วนข้อสงสัยว่า HIFU ทั่วไป กับ HIFU Ultraformer III มีความแตกต่างกันยังไง Ultraformer III ช่วยลดความเสี่ยงผิวไหม้ เพราะสามารถยิงพลังงานได้สม่ำเสมอ และเป็นจุดยิงที่ใหญ่มากกว่าการทำกับ HIFU ทั่วไปนั่นเอง
Ulthera คืออะไร
Ulthera คืออีกรูปแบบหนึ่งของการยกกระชับผิวให้เต่งตึง ลดริ้วรอย โดยไม่ต้องผ่าตัดเช่นเดียวกัน โดยเป็นการใช้คลื่นความถี่สูงยิงส่งลงไปใต้ชั้นผิว เป็นความร้อนและเหมือนจุดเล็กๆ ที่ยิงเรียงกันเป็นเส้นตรง ทำให้เกิดการยกกระชับได้ และยังมีระดับการยิงถึง 3 รูปแบบ ทำให้การแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยตรงจุดมากยิ่งขึ้น
ไขข้อข้องใจ Ultraformer III กับ Ulthera ต่างกันยังไง
ในแง่ของการยกกระชับ หัตถการทั้งสองอย่างล้วนมีจุดประสงค์คล้ายกันคือเพื่อลดความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้ผิวเต่งตึง ลดริ้วรอยได้ แต่สิ่งที่ทำให้ Ulthera กับ Ultraformer III มีความแตกต่างกันยังไงนั้น คือคลื่นปล่อยความถี่แตกต่างกัน โดย Ultraformer III จะปล่อยคลื่นความถี่ MMFU เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยสามารถทำได้ทั้งใบหน้าและผิวกาย ใช้เวลาประมาณ 15–20 นาที (หากเป็นผิวกายใช้เวลาประมาณ 40 – 60 นาที) ซึ่งน้อยกว่าเวลาของการทำกับ Ulthera ที่จะปล่อยคลื่นความถี่ลงไปที่ชั้นผิว SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสำหรับการกระชับ โดยใช้เวลา 30 – 60 นาที และเน้นที่การยกกระชับใบหน้าเพียงเท่านั้น ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานราว 1 – 2 ปี ส่วน Ultraformer III แม้จะอยู่ได้นาน 6 เดือน แต่หากมีการทำซ้ำในเวลาที่เหมาะสมผลลัพธ์ก็จะชัดเจนอยู่ได้นานมากขึ้น
ผลลัพธ์หลังทำ Ultraformer III กับ Ulthera
Ultraformer III กับ Ulthera ให้ผลลัพธ์หลังทำคล้ายและต่างกัน ดังนี้
- ผิวหน้าดูยกกระชับ เก็บกรอบหน้าได้ชัดเจนขึ้นทั้งสองรูปแบบ
- ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้เกิดการหดตัว ผิวหน้ากระชับขึ้นทั้งสองหัตถการ
- สามารถแต่งหน้า ใช้ชีวิตตามปกติได้เลยหลังทำ
- Ultrafomer III สามารถแก้ไขปัญหาในจุดเล็กๆ อย่างหนังตาตก ขอบตาล่างหย่อน ร่องแก้มลึก ได้ดี ส่วน Ulthera จะเน้นแก้ไขริ้วรอยตามร่องใต้ตา หรือยกหางคิ้วและหางตาขึ้นได้ดี ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ลง
- หลังจากทำ Ultraformer III ใบหน้าจะเรียวได้รูปขึ้น
- แม้ผลลัพธ์โดยมากจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ระยะเวลาที่ได้ภายหลังการทำ Ulthera จะเห็นผลประมาณ 30% และเห็นผลลัพธ์ยาวนานกว่า 1 ปี ส่วนทำกับ Ultraformer III อาจต้องใช้การทำซ้ำเพิ่มเติมปีละ 2 – 3 ครั้งจึงจะเห็นผลได้ยาวนานมากกว่า 6 เดือนหลังจากทำครั้งแรก
Ultraformer III กับ Ulthera เหมาะกับใครบ้าง
เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงความต้องการมากที่สุด ก็ควรจะเลือกหัตถการให้เหมาะสมกับตนเองก่อน สำหรับ Ultraformer III กับ Ulthera เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาดังนี้
Ultraformer III เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาใบหน้าหรือลำคอหย่อนคล้อย มีเนื้อใต้คาง ไม่กระชับ
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาใบหน้าดูแก่กว่าวัยเพราะหนังตาตก มุมปากตก คิ้วตก หรือขอบตาล่างยาน
- ผู้ที่ต้องการเติมร่องแก้มไม่ให้หย่อนคล้อย
- ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าเรียวได้รูป
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวตามท้องแขน ต้นขา หน้าท้อง ไม่กระชับ
Ulthera เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยตามใบหน้า ลำคอ กรอบหน้า ไปจนถึงเนินอก
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนังตาตก หางตาตก
- ผู้ที่ต้องการกรอบหน้าเรียว ลดเหนียง
- ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ากระชับ ผิวเนียน ลดรูขุมขน
เปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสียของ Ultraformer III กับ Ulthera ต่างกันยังไง
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น มาดูเปรียบเทียบจากข้อดีข้อเสียของ Ultraformer III กับ Ulthera
ข้อดี-ข้อเสียของ Ultraformer III
- หัวยิงที่เล็ก เรียว ทำให้แก้ไขปัญหาใต้ชั้นผิวได้ตรงจุดมากขึ้น การกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อจะลดริ้วรอย เติมร่องแก้มก็ทำได้ดีกว่าเดิม
- ทำให้รูปหน้าเรียวขึ้น หมดปัญหาเหนียง ร่องแก้ม ใต้ตาลึก กวนใจ
- ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เหมาะกับคนกลัวเข็ม
- ใช้เวลาในการทำไม่นาน ประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ
- ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถแต่งหน้าหลังทำได้
- เห็นผลชัดเจน 20% หลังทำ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีสามารถทำซ้ำได้ 2 – 3 ครั้งใน 1 ปี
- ทำได้ทั้งใบหน้าและลำตัว
- ข้อเสียคือหากเจอแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ ใช้เครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจเกิดผลเสียกับผิวหน้าได้
ข้อดี-ข้อเสียของ Ulthera
- ทำให้ผิวกระชับ ลดริ้วรอยรูขุมขน ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
- เห็นผลประมาณ 30% หลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี
- ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น แต่งหน้าหลังทำได้เลย
- ข้อเสียคืออาจเกิดรอยแดงหลังทำได้ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 1 ชั่วโมง
- บางคนอาจรู้สึกเจ็บระหว่างทำ แต่ในบางรายก็ไม่มีผลเสียนี้เกิดขึ้น
- ผิวอาจบวมในช่วงสัปดาห์แรก แล้วค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้ทำด้วย
Ultraformer III กับ Ulthera ต่างจาก Thermage ยังไง
Thermage มีหลักการทำงานคือการปล่อยพลังงานความร้อนคลื่นวิทยุลงสู่ชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน เพื่อแยกโมเลกุลของน้ำออกจากคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว ส่วนที่หย่อนคล้อยก็จะได้รับการกระตุ้นทำให้หดและทำให้ผิวตึงกระชับขึ้นได้ สิ่งที่ทำให้ Thermage กับ Ultraformer เหมือนกันก็คือการปล่อยคลื่นพลังงานเพื่อสร้างคอลลาเจน เพิ่มความกระชับของผิวนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้ Ultraformer III กับ Thermage แตกต่างกันคือลักษณะการยิงและผลลัพธ์หลังทำบางส่วนที่ Ultraformer III เห็นได้ชัดเจนกว่า 30%
Thermage เหมาะกับใคร
การเลือกหัตถการให้เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขสำคัญมาก แม้ว่าโดยรวม Ultraformer III, Ulthera กับ Thermage จะได้ผลลัพธ์ในการยกกระชับคล้ายคลึงกัน แต่ Thermage ก็จะมีความจำเพาะเหมาะกับแก้ไขในบางคนที่มีปัญหาดังนี้
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้กระชับขึ้น
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันสะสม ไม่ว่าจะใต้คาง เหนียง ใบหน้า หรือต้นขา
- ผู้ที่ต้องการลดปัญหาหย่อนคล้อยตามใบหน้า ลำคอ ต้นแขน หรือส่วนที่มีความหย่อนคล้อยอื่นๆ
- ผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน เพิ่มความเยาว์วัย
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเปลือกตาตก ผิวรอบดวงตาไม่กระชับ
- แม่หลังคลอดที่ต้องการกระชับผิวหน้าท้อง
- ผู้ที่กลัวเข็ม ไม่อยากผ่าตัด และไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
ผลลัพธ์หลังทำ Thermage
- ลดไขมันตามแก้ม เหนียง
- ใบหน้าเรียวขึ้น
- รูขุมขนดูกระชับขึ้น ทำให้ผิวหน้าได้รับการฟื้นฟู ดูอ่อนกว่าวัย
- ส่วนที่หย่อนคล้อยมีความตึงกระชับมากกว่าเดิม
- ลดไขมันตามร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขาได้ดีขึ้น
- ในบางรายอาจมีอาการบวมได้ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์หรือเร็วกว่านั้น
รวมข้อดี - ข้อเสียของ Thermage
- สร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหนังที่ดูหย่อนคล้อย ไม่กระชับ กลับมาเต่งตึง ผิวอิ่มฟู เพิ่มความอ่อนเยาว์ได้
- ทำ Thermage กับส่วนอื่นๆ ของร่างกายอย่างหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขาได้ด้วย
- หลังทำจะเห็นผลลัพธ์ 20% และคงอยู่ได้นานเกือบ 2 ปี
- ผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่มีเวลาพักฟื้นนานๆ ก็สามารถทำได้
- ปลอดภัย ได้มาตรฐานจาก FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา
- ราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ได้ผลที่พึงพอใจ
- ในบางรายอาจรู้สึกเจ็บขณะทำ หรือมีรอยบวมหลังทำบ้าง แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 1–2 สัปดาห์
เลือกคลินิกทำ Thermage, Ultraformer III กับ Ulthera ยังไง
เมื่อได้รู้จักและเห็นความแตกต่างของทั้งสามหัตถการแล้ว สิ่งสำคัญก็คือการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ โดย Checklist เหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการรับรองจากสาธารณสุข สังเกตเห็นใบอนุญาตได้เมื่อเข้าไปในคลินิก
- คลินิกต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการทำหัตถการอย่าง Ultraformer III, Ulthera กับ Thermage โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา
- สามารถขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบเครื่องที่จะใช้ทำหัตถการได้กับทางคลินิก เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเครื่องแท้ ใช้แล้วไม่เกิดผลเสียแก่ร่างกาย
- ดูรีวิวจากผู้รับบริการว่าน่าเชื่อถือ ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจหรือไม่
- ศึกษาข้อมูลของคลินิกและหัตถการที่สนใจ เปรียบเทียบกับความต้องการของตัวเองก่อนเพื่อจะได้
ทำ Thermage, Ultraformer III กับ Ulthera ที่ Jarem Clinic ดียังไง
ที่ Jarem Clinic เรามีมาตรฐานการรองรับเครื่อง Thermage, Ulthera กับ Ultraformer ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นของแท้ จึงมั่นใจในประสิทธิภาพของเครื่องได้ว่านำเข้ามาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย อีกทั้งยังมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการทำหัตถการ ช่วยแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหา และยังมั่นใจได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาดี เป็นที่พึงพอใจแก่ผู้เข้ารับบริการแน่นอน
สรุป
Thermage, Ultera กับ Ultrafomer III มีความเหมือนกันเรื่องกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ผิวเกิดการกระชับ ลดการหย่อนคล้อย แต่แตกต่างกันในด้านของลักษณะการยิงและคลื่นสัญญาณที่ส่งลงไปในชั้นผิว Thermage จะเหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มความกระชับของหน้าท้องของแม่หลังคลอดได้ด้วย ส่วน Ulthera จะเหมาะกับคนที่ต้องการกรอบหน้าเรียว ลดเหนียง แก้ปัญหาหนังตาตก และ Ultraformer III จะเหมาะกับคนที่ต้องการเติมร่องแก้ม ผิวไม่กระชับ หรือมีเนื้อใต้คาง ดังนั้นจึงควรเลือกหัตถการให้เหมาะกับตนเอง พิจารณาเลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน อย่าง Jarem Clinicที่มีแพทย์เชี่ยวชาญ คลินิกได้รับการรับรอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ และปลอดภัยแน่นอน