รวมข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ควรรู้! เสริมหน้าอกสวย เลี่ยงหน้าอกพัง

รวมข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ควรรู้

ข้อห้ามหลังเสริมหน้าอก ทำนม ทำหน้าอกที่ควรรู้ เลี่ยงหน้าอกพัง

การศัลยกรรมเสริมหน้าอก นับเป็นวิธีการแก้ปัญหาหน้าอกที่ตรงจุดมากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สาวๆ หลายคนที่มีปัญหาอกเล็ก อกไข่ดาว หรืออกไม่สวย จึงมีความคิดอยากเสริมหน้าอก เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยากทำหน้าอกมากขนาดไหน หลายคนก็ยังคงลังเลไม่กล้าทำเพราะกลัวอาการเจ็บ และอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด เช่น อาการปวดหลังหลังทำนม อาการเจ็บแผลผ่าตัด

ในความเป็นจริงแล้ว อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่พบได้หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งหากดูแลร่างกายและปฏิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมอกที่ศัลยแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด อาการหลังเสริมอกก็จะหายเร็วขึ้น และไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา ดังนั้น เพื่อช่วยให้คนอยากทำหน้าอกสบายใจขึ้น มาดูข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ควรรู้ และการดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกอย่างถูกวิธี รับรองว่าได้หน้าอกสวยแน่นอน

เนื้อหาที่น่าสนใจ

อาการหลังทำหน้าอก เป็นอย่างไร

อาการหลังทำหน้าอก เป็นอย่างไร

สำหรับอาการหลังเสริมหน้าอก สามารถพบได้ตั้งแต่หลังผ่าตัดไปจนถึง 1 ปี โดยแบ่งเป็นระยะต่างๆ และมีข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ควรปฏิบัติในแต่ละระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 — อาการหลังเสริมหน้าอกทันที

หลังออกจากห้องผ่าตัด ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะถูกย้ายมาห้องพักฟื้นเพื่อรอดูอาการ ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจมีอาการปวดที่หน้าอกเล็กน้อย แต่เนื่องจากยาสลบ และยาชายังไม่หมดฤทธิ์จึงทำให้อาจไม่ได้สติเต็มที่ แต่หากมีอาการเจ็บปวดแผลผ่าตัดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งกับศัลยแพทย์เพื่อประเมินอาการหลังเสริมอกทันที

ระยะที่ 2 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1-3 ชั่วโมง

หลังจากเสริมหน้าอก 1-3 ชั่วโมง ผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจมีอาการเจ็บเล็กน้อย เพราะยังคงมีฤทธิ์ของยาชาอยู่ ซึ่งหากไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ปกติแล้วศัลยแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะต้องใส่ชั้นใน หรือพันผ้าก๊อซรอบเต้านม เพื่อประคองทรงของเต้านม และลดโอกาสของการกระทบกระเทือน

ระยะที่ 3 — อาการหลังเสริมหน้าอก 3-5 วัน

ในช่วง 3-5 วันแรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก เป็นช่วงที่ร่างกายของผู้รับการผ่าตัดปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของหน้าอก จึงอาจมีอาการระคายเคือง ปวด หรือมีเลือดซึมบริเวณแผลผ่าตัด จึงต้องรับประทานยาที่ศัลยแพทย์จ่ายให้ และต้องปฎิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันแผลผ่าตัดฉีกขาด หรืออาการแทรกซ้อนอื่นๆ แต่หากมีอาการปวดอย่างรุนแรง หรือมีเลือดออกมากผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์

ระยะที่ 4 — อาการหลังเสริมหน้าอก 7-14 วัน

อาการหลังเสริมอก 14 วัน อาจไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากแผลผ่าตัดเริ่มสมานกันดีแล้ว แต่ยังคงต้องระมัดระวัง และปฎิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมหน้าอก โดยเฉพาะการทำกิจกรรมที่ออกแรง หรือมีการเคลื่อนไหวมากๆ ทำให้ระยะนี้จึงยังต้องหยุดพักจากการทำงานเพื่อดูแลตัวเองก่อน

ระยะที่ 5 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1-2 เดือน

ระหว่างช่วง 1-2 เดือนหลังการผ่าตัด อาการหลังทำนมจะลดลงจนเกือบเป็นปกติ แต่ผู้เสริมหน้าอกยังคงต้องดูแลตัวเอง และปฎิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ นอกจากนี้ ควรหมั่นสังเกตรูปทรงของหน้าอก หากเห็นว่าเบี้ยวหรือไม่เป็นทรงตามที่ต้องการ ควรรีบปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อทำการแก้ไข

ระยะที่ 6 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1 ปี

หลังจากเสริมหน้าอก 1 ปี ผู้เสริมหน้าอกจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือระคายเคือง แต่ต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติของรูปทรงอยู่เสมอ สำหรับการสังเกตอาการหลังเสริมอก 1 ปี ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ในเสริมหน้าอก กรณีที่ใช้ซิลิโคนน้ำเกลือจะสังเกตความผิดปกติของรูปทรงได้ง่ายกว่าการใช้ซิลิโคนเจลที่มีความหนาแน่นมากกว่า ซึ่งต้องมีการทำ Magnetic Resonance Imaging (MRI) เพื่อตรวจสอบ หากตรวจพบความผิดปกติ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ทำการแก้ไขทันที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการเสริมหน้าอก

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการเสริมหน้าอก

เนื่องจากการเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีการวางยาสลบ หลังจากการผ่าตัด นอกจากอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัดแล้ว ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง และอาการหลังทำนม อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

  • รู้สึกแสบร้อน เกิดรอยแดง หรือรอยบวมบริเวณแผลผ่าตัด
  • มีไข้จากแผลเกิดการติดเชื้อ
  • รู้สึกแน่นหน้าอก ทำให้หายใจลำบากกว่าปกติ
  • รู้สึกว่าบริเวณเต้านมแข็งผิดปกติ
  • มีตุ่มหรือก้อนบริเวณเต้านม แต่หากมีบริเวณใต้รักแร้ อาจเป็นสาเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองได้
  • มีความรู้สึกว่าซิลิโคนเคลื่อนที่ หรือหมุนได้
การดูแลตัวเองหลังทำหน้าอก ทำได้อย่างไร

การดูแลตัวเองหลังทำหน้าอก ทำได้อย่างไร

แม้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะอนุญาตให้ผู้ผ่าตัดกลับบ้านได้ใน 3 ชั่วโมง หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงเรื่องภาวะแทรกซ้อน ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรดูแลแผลผ่าตัด และปฏิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ศัลยแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยวิธีดูแลหลังเสริมหน้าอก มีอยู่ด้วยกัน ดังนี้

  1. ควรรับประทานยาที่ศัลยแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาพบศัลยแพทย์ตามนัดทุกครั้ง โดยการผ่าตัดเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะติดตามอาการหลังทำนมประมาณ 1 ปี
  2. ท่านอนหลังทำหน้าอกที่ถูกต้อง คือ การนอนบนหมอนสูง 45 องศา เป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ 
  3. ในช่วง 2-3 วันแรกหลังผ่าตัด ให้อาบน้ำทำความสะอาดเฉพาะช่วงล่างของร่างกายเท่านั้น ส่วนช่วงบนให้ใช้การเช็ดตัวแทน สำหรับการอาบน้ำสามารถทำได้ในวันที่ 4 หลังการผ่าตัด แต่ต้องติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำ
  4. การแกะพลาสเตอร์ปิดแผล สามารถทำได้ในวันที่ 4 หรือรอจนกว่าแผลแห้ง ซึ่งหลังจากแกะแล้วให้ทำความสะอาดแผลทุกวัน จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ
  5. ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรพันผ้าประคองเต้านมอย่างต่อเนื่อง ส่วนซัพพอร์ตบราให้ใส่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนนอนเป็นระยะเวลาประมาณ 3–6 เดือน หรือจนกว่าหน้าอกที่เสริมมาจะเข้ารูป
  6. ให้เริ่มนวดหน้าอกหลังจากตัดไหมประมาณ 2 สัปดาห์ โดยให้นวดครั้งละ 5–10 นาที วันละ 2 ครั้ง
  7. ควรทายารักษารอยแผลเป็นตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รอยแผลเป็นจางลง
อาหารแนะนำ หลังทำหน้าอกควรกิน

อาหารแนะนำหลังเสริมหน้าอก ควรทานอะไรบ้าง

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลังการผ่าตัด ถือเป็นหนึ่งในข้อปฎิบัติที่ผู้เสริมหน้าอกต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหลังเสริมอกแล้ว ยังช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้นอีกด้วย สำหรับอาหารที่ควรรับประทาน มีดังนี้

  1. อาหารประเภทโปรตีน เป็นสารอาหารที่จำเป็นมากหลังการผ่าตัดทุกรูปแบบ เพราะช่วยฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลให้ติดเร็วขึ้น สำหรับอาหารประเภทโปรตีนที่คนเสริมหน้าอกควรรับประทานหลังผ่าตัด ได้แก่ นม ไข่ ถั่วทุกชนิด และอาหารทะแลที่ผ่านการปรุงสุก เป็นต้น
  2. อาหารประเภทไขมัน เพราะไขมันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดกระบวนดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก แนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี เช่น น้ำมันรำขาว ถั่วอัลมอลด์ ถั่วพิสตาชิโอ เป็นต้น
  3. วิตามินซี ( Vitamin C ) การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ ผลไม้ตระกลูเบอร์รี่ หรือผักใบเขียว ช่วยกระตุ้นให้แผลผ่าตัดสมานง่าย และหายได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เป็นอย่างดี
  4. วิตามินอี ( Vitamin E ) เช่นเดียวกับวิตามินซี การรับประทานอาหารที่มีวิตามินอีสูงจะช่วยให้แผลสมานได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ ข้าวสาลี ไข่ไก่ และผักประเภทกระหล่ำ
  5. แร่ธาตุสังกะสี ( Zinc ) หากต้องการให้แผลผ่าตัดหายเร็ว และลดความเสี่ยงเรืองภาวะแทรกซ้อน แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เพราะนอกจากแร่ธาตุสังกะสีจะช่วยสมานแผลแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบของแผลได้อีกด้วย สำหรับอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ แอปเปิ้ล ถั่ว สัปปะรด ผักโขม และธัญพืช เป็นต้น
ข้อห้ามหลังเสริมหน้าอก ที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้อห้ามหลังเสริมหน้าอก ที่ควรหลีกเลี่ยง

ก่อนตัดสินใจทำหน้าอก นอกจากการศึกษาวิธีดูแลหลังเสริมอกแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ข้อห้ามหลังเสริมอก โดยข้อห้ามสำคัญที่คนเสริมหน้าอกควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้

1. ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ

หลังการผ่าตัดศัลยแพทย์จะติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ที่แผลผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แผลอักเสบ ติดเชื้อ และทำให้เกิดอาการหลังเสริมอกอื่นๆ ตามมาได้ ผู้ทำหน้าอกจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือในกรณีที่อยู่ระหว่างการใส่สายระบายเลือด ห้ามถอดออก หรือเทเลือดออกจากกระปุกด้วยตนเอง แต่ให้ถอดที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหลังจากวันผ่าตัด 3-5 วัน

2. ห้ามนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง

ปกติแล้วศัลยแพทย์จะห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดนอนคว่ำ หรือนอนตะแคงประมาณ 1 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเคลื่อนที่ ดังนั้น หลังการผ่าตัดจึงต้องระมัดระวังการนอนอยู่เสมอ โดยให้นอนในท่านอนหงาย หนุนหมอนสูง 45 องศา ซึ่งเป็นท่านอนหลังทำนมที่ถูกต้อง

3. ห้ามออกแรงมากเกินความจำเป็น

การออกแรงหนักๆ อย่างการออกกำลังกาย หรือยกของหนัก จะทำให้เกิดใช้กล้ามเนื้อแขน ซึ่งอาจทำให้แผลผ่าตัดเกิดการอักเสบ และฉีกขาดได้ ดังนั้น ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด จึงไม่ควรขยับตัวมากเกินความจำเป็น ควบคู่ไปกับการล้างแผลอย่างเป็นประจำเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ ซึ่งการล้างแผลทำได้ด้วยการแกะพลาสเตอร์ออก และล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ทาเบตาดีน หรือทายาตามที่ศัลยแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้พันผ้ารัดหน้าอกตามเดิม ส่วนกรณีเสริมหน้าอกแบบใต้กล้ามเนื้อให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีการใช้กล้ามเนื้อหน้าอก เช่น การวิดพื้น หรือโยคะเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

4. งดทำกิจกรรมบางประเภท

เหตุผลที่ศัลยแพทย์แนะนำผู้เข้ารับการเสริมหน้าอกให้หยุดพักการทำงาน และงดกิจกรรมบางอย่างนั้น นอกจากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลให้แผลฉีกขาด โดยกิจกรรมที่ไม่ควรทำหลังการผ่าตัด มีดังนี้

  1. ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังการผ่าตัด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอาจทำให้แผลผ่าตัดปริ หรือฉีกขาดได้
  2. ห้ามว่ายน้ำ หรือแช่น้ำในอ่างอาบน้ำอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ หลังจากการผ่าตัด
  3. ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก การขับรถ การวิ่ง หรือกระโดด อย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด เพราะอาจส่งผลให้ซิลิโคนเคลื่อนที่จากตำแหน่ง

5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารบางประเภท

แน่นอนว่าเมื่อมีอาหารที่ควรรับประทานหลังการเสริมหน้าอกแล้ว ย่อมมีอาหารที่เป็นข้อห้ามหลังเสริมอก ซึ่งอาหารที่ห้ามรับประทาน มีดังนี้

  1. อาหารหมักดอง เนื่องจากอาหารประเภทนี้ อาจกรรมวิธีการผลิตที่ไม่สะอาด ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาแผลติดเชื้อได้หากรับประทาน
  2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีด ส่งผลให้แผลสมานตัวช้าลง จึงควรงดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
  3. สมุนไพร ยาแผนโบราณ เนื่องจากในยาสมุนไพรบางชนิด มีสารประเภทสเตียรอยด์ที่ทำให้เลือดแข็งตัว จึงควรงดทั้งตอนก่อน และหลังการผ่าตัด 
  4. อาหารสุกๆ ดิบๆ เนื่องจากอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค และพยาธิ หากรับประทานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดได้
  5. อาหารที่แพ้อยู่แล้ว เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ตัวเองมีอาการแพ้ทำให้เกิดตุ้มคัน หรือผื่นขึ้นตามตัว ซึ่งการเกาหรือสัมผัส อาจทำให้แผลติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้

6. ห้ามสวมใส่เสื้อชั้นในแบบมีโครง

อีกหนึ่งข้อห้ามหลังเสริมอก คือการสวมใส่เสื้อชั้นในแบบมีโครง เสื้อในทรงโครงเหล็ก และปีกนก เพราะทำให้เกิดปัญหาการกดทับซิลิโคน และหน้าอกผิดรูปตามมาภายหลัง จึงควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อชั้นในเหล่านี้เป็นเวลา 1 ปี และใส่เป็นซัพพอร์ตบราแทน

7. หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อน

ความร้อนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเหงื่อ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้แผลเกิดการติดเชื้อ และเกิดการอักเสบได้ ดังนั้น ในช่วงแรกที่แผลผ่าตัดเสริมหน้าอกยังไม่สมานดี ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีอาการร้อน และงดการทำซาวน่า หรืออบไอน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน หลังการผ่าตัด
อยากทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ต้องดูอะไรบ้าง

อยากทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ต้องดูอะไรบ้าง

การเสริมหน้าอกถือเป็นการผ่าตัดที่มีการวางยาสลบ ฉีดยาช้า และใช้เวลาหลายชั่วโมง จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการผ่าตัดอย่างรัดกุม ดังนั้น นอกจากศึกษาข้อมูล ขั้นตอนการทำหน้าอก ทำนม ขั้นตอนในการดูแลตัวเอง และข้อห้ามหลังเสริมอกแล้ว คนที่อยากเสริมหน้าอกยังต้องให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกเสริมหน้าอก โดยควรเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีความสะอาด พร้อมควบคุมดำเนินการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมหน้าอก และวิสัญญีแพทย์เฉพาะทาง นอกจากนี้ ก่อนตัดสินใจเสริมหน้าอก ควรตรวจสอบชนิดของซิลิโคนที่คลินิกเลือกใช้ ซึ่งต้องเป็นซิลิโคนที่ได้รับรองคุณภาพ และความปลอดภัยจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขด้วย

ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับ Jarem Clinic ดีกว่ายังไง

ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับ Jarem Clinic ดีกว่ายังไง

สำหรับคนที่กำลังวางแผนเสริมหน้าอกเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเสริมหน้าอกที่ไหนดี Jarem Clinic เราเป็นคลินิกศัลยกรรมมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ทุกขั้นตอนดำเนินโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมหน้าอก ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด วางแผนการผ่าตัด ดำเนินการผ่าตัดร่วมกับวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางในทุกขั้นตอนด้วยเทคนิคเฉพาะของ Jarem Clinic ทำให้แผลผ่าตัดมีความสวยงาม เรียบเนียน และเล็กเพียง 3 เซนติเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีบริการติดตามผลหลังผ่าตัด ซึ่งหากสนใจสามารถรีวิวศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้ที่ รีวิวศัลยกรรมเสริมหน้าอก

จากข้อมูลทำให้สรุปได้ว่าอาการหลังเสริมอก ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บ ปวด ตึงแผลผ่าตัดเต้านม ถือเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด และสามารถหายได้เองเมื่อแผลผ่าตัดหายดีและหน้าอกใหม่เข้าที่ ซึ่งการที่แผลจะหายเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับดูแลตัวเองและการปฏิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมอกอย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้ก็จะได้หน้าอกสวยอย่างที่ใจต้องการ

บทความโดย

นพ. พลเดช สุวรรณอาภา

ศัลยแพทย์ เฉพาะทางเสริมหน้าอก

บทความเกี่ยวข้อง