สิ่งสำคัญของการเสริมหน้าอก คือ การเลือกใช้ซิลิโคนที่มีคุณภาพเพื่อให้มีอายุอยู่ได้นาน บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี เราจจะทราบได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนซิลิโคนแล้ว เตรียมตัวผ่าตัดซิลิโคนอย่างไรบ้าง รวมไปถึงมีขั้นตอนอะไรบ้างในการดูแลซิลิโคนให้อยู่ได้ยาวนาน มาหาคำตอบทั้งหมดได้ในบทความนี้เลย
ซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปีกันแน่?
หลายคนอาจมีความสงสัยว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปีกันแน่ โดยทั่วไปแล้ว อายุของซิลิโคนเสริมหน้าอกสามารถอยู่ได้นานกว่า 10 ปีเลยทีเดียว แต่การดูแลรักษาตัวเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อายุของซิลิโคนยาวนานขึ้น ซึ่งการดูแลรักษาซิลิโคนมีหลายขั้นตอน สิ่งสำคัญ คือ การหมั่นสังเกต และตรวจเช็คซิลิโคนและเต้านมเป็นประจำ เพราะหากพบสิ่งผิดปกติจะได้รีบปรึกษาแพทย์ให้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหาย และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ต่อมาการยืดอายุซิลิโคนต้องมีวินัยในการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การบริหาร และการนวดเต้านมเป็นประจำทุกวัน หลีกเลี่ยงการออกแรง หรือขยับร่างกายมากเกินไป เป็นต้น ดังนั้น การที่อายุของซิลิโคนจะยาวนานได้แค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาตัวเองที่ถูกวิธีนั่นเอง
ควรเสริมหน้าอกแบรนด์ไหนดี
ก่อนตัดสินใจเสริมหน้าอก ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวซิลิโคนก่อนว่าควรเลือกซิลิโคนแบบไหนดี เพราะการเลือกซิลิโคนเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกซิลิโคนที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และมีความปลอดภัย โดยทั่วไปซิลิโคนที่ได้รับความน่าเชื่อถือ มี 2 แบรนด์ และทางคลินิกเลือกใช้ คือ ซิลิโคน Motiva และ Mentor
ซิลิโคนแบรนด์ Mentor
ซิลิโคนแบรนด์ Mentor คือ แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักมานานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ภายใต้บริษัท Jonhson & Johnson ซิลิโคนตัวเด่นอย่าง Mentor Memory Gel ที่ได้รับการรับประกับโดย FDA & MHRA มีผิวซิลิโคน 2 แบบ คือ ผิวเรียบและผิวทราย สำหรับซิลิโคนผิวเรียบ มีลักษณะเรียบใส มีความนิ่ม และใส่เข้าไปในร่างกายได้ง่าย แต่มีข้อเสีย คือ เกิดพังผืดได้ง่าย ส่วนซิลิโคนผิวทราย มีลักษณะเนื้อสัมผัสเหมือนทรายละเอียด มีความหนา แตกยาก ลดการเกิดพังผืดได้ แต่เนื่องจากผิวมีลักษณะฝืดจึงใส่เข้าไปในร่างกายได้ยากกว่า นอกจากนี้ ซิลิโคน Mentor ยังมีรูปทรงอีก 2 แบบ คือ ทรงกลม และทรงหยดน้ำ แต่ละรูปทรงก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
- รุ่นทรงกลม (Round implant) เป็นซิลิโคนทรงกลมที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดต่างๆ ตามขนาด CC และความพุ่งที่เลือก ซิลิโคนทรงกลมจะมีความยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมเต้านมให้มีรูปร่างกลม และต้องการเสริมเติมเต็มในส่วนบนของเต้านม เพื่อเพิ่มขนาดให้มีความสวยงามตามต้องการ
- รุ่นทรงหยดน้ำ (Teardrop หรือ Anatomical shape) เป็นซิลิโคนที่เป็นทรงด้านบนเล็กกว่าด้านล่างเหมือนหยดน้ำ เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อเต้านมน้อย ต้องการเสริมเฉพาะส่วนโดยเฉพาะส่วนล่างของเต้านม จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าแบบทรงกลม เพราะหากมีเนื้อหน้าอกน้อย การใส่ซิลิโคนรูปทรงกลมจะทำให้เห็นเป็นทรงกลมชัด และดูไม่เป็นธรรมชาติ
ซิลิโคนแบรนด์ Motiva
ซิลิโคน Motiva เป็นแบรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และไทย ซิลิโคน Motiva มีจุดเด่นในเรื่องของความนิ่ม และยืดหยุ่นสูงมากคล้ายหน้าอกจริง ซิลิโคนมีผิวสัมผัสแบบนาโนที่เข้าได้ดี กลมกลืนกับเนื้อเยื่อของร่างกาย ลดโอกาสเกิดพังผืด และมีรูปทรงเป็นธรรมชาติอีกด้วย โดยมี 2 ทรง ได้แก่
- รุ่นทรงกลมไม่มีชิป (Motiva Round) เป็นซิลิโคนทรงกลมที่มีความพุ่ง 4 แบบ ได้แก่ Mini, Demi, Full, และ Corse ข้อดีของซิลิโคนทรงกลม คือ มีความยืดหยุ่น นิ่ม ได้ทรงพุ่ง เนินหน้าอกดูอวบอิ่ม
- รุ่นทรงหยดน้ำมีชิป (Motiva Ergonomix) ซิลิโคนทรงหยดน้ำที่มีความโดดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่นสูงมาก สามารถปรับรูปทรงได้ตามการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งแนวนอนแ ละแนวตั้ง ทำให้หน้าอกมีความเป็นธรรมชาติคล้ายหน้าอกจริง นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีชิปขนาดเล็กในซิลิโคน เรียกว่าระบบ “Q Inside Safety Technology” เพื่อบันทึกรายละเอียดข้อมูลทั้งหมดของการผ่าตัดเสริมหน้าอก เช่น รายละเอียดของซิลิโคน แพทย์ผู้ผ่าตัด และอื่นๆ ที่สำคัญ เป็นต้น
แล้วซิลิโคน Motiva อยู่ได้กี่ปี? หรือซิลิโคน Mentor อยู่ได้กี่ปี? ต้องบอกก่อนว่าซิลิโคนทั้งสองแบรนด์ได้รับมาตรฐาน และมีคุณภาพทั้งคู่ แต่อาจแตกต่างกันในเรื่องของรูปทรง และพื้นผิว ในส่วนของอายุการใช้งาน แน่นอนว่ายาวนานมากกว่า 10 ปีแน่นอน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเทคนิคของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเสริมหน้าอก การดูแลรักษาตัวเอง การหมั่นตรวจสอบ และสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดจากเหตุสุดวิสัยหลังการทำอีกด้วย
เสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี ถึงควรเปลี่ยน
แน่นอนว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 10 ปี แต่ก็มีหลายกรณีที่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนซิลิโคนก่อนหมดอายุการใช้งาน เนื่องจากสาเหตุผิดปกติบางอย่างที่เกิดจากทั้งตัวซิลิโคนเอง การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอก ไปจนถึงการผ่าตัดกับผู้ไม่เชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ซิลิโคนและเต้านมมีอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องเปลี่ยนซิลิโคน โดยอาการผิดปกติที่สังเกตได้ มีดังนี้
หน้าอกเป็นคลื่น
ภาวะหน้าอกเป็นคลื่น (Rippling) มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีรูปร่างผอม แต่ต้องการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่ อาการหน้าอกเป็นคลื่น เกิดจากรอยย่นบริเวณขอบถุงซิลิโคน เนื่องจากผู้เสริมหน้าอกที่มีรูปร่างผอม มักมีฐานหน้าอก และเนื้อบริเวณหน้าอกน้อย การเสริมซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่ไม่พอดีกับสรีระ ทำให้เกิดการบีบตัวของซิลิโคน ส่งผลให้ซิลิโคนพับ หรือย่นกลายเป็นคลื่น นอกจากนี้ อาจเกิดจากการเสื่อมคุณภาพของซิลิโคนจนเกิดการรั่วซึม บวกกับร่างกายสร้างพังผืดมารัดตัวซิลิโคนทำให้เห็นเป็นริ้วได้ชัด โดยอาการหน้าอกเป็นคลื่นมักปรากฎให้เห็นหลังจากเสริมหน้าอกไปแล้วสักพัก ในช่วงที่หน้าอกหายบวม จึงเริ่มเห็นอาการนี้ได้ชัดเจนขึ้น
ซิลิโคนเคลื่อนที่
ซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี? แน่นอนว่าเมื่อเสริมไปนานๆ อาจมีโอกาสที่ซิลิโคนจะเคลื่อนที่ หรือหย่อนคล้อยลงได้ตามแรงโน้มถ่วง เนื่องจากร่างกาย หรือสุขภาพของผิวของคนเราเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายเกิดการสูญเสียคอลลาเจน ผิวหนังมีความเหี่ยว หรือหย่อนยาน ส่งผลให้ซิลิโคนที่เสริมในหน้าอกหย่อนคล้อย หรือเคลื่อนที่ไปตามสภาพของผิว ในบางรายอาจหย่อนเพียงข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ ถือเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะร่างกายของคนเรามีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เกิดพังผืดที่หน้าอก
พังผืดหลังเสริมอกคืออะไร? อธิบายได้ว่าเป็นลักษณะอาการที่ซิลิโคนเสริมหน้าอกถูกพังผืดรัด ทำให้หน้าอกแข็งมาก ในบางรายแข็งเหมือนหิน มีสาเหตุหลักๆ สองประการ คือ ซิลิโคนที่ใช้ กับการดูแลตัวเองหลังการเสริมหน้าอก สำหรับการเลือกซิลิโคนมีส่วนต่อการเกิดพังผืดในหน้าอกได้ เช่น ซิลิโคนผิวเรียบมีโอกาสเกิดพังผืดมากกว่าซิลิโคนผิวทราย หรือซิลิโคนผิว หรือซิลิโคนผิวกำมะหยี่ก็มีโอกาสเกิดพังผืดได้น้อยกว่าเช่นกัน นอกจากนี้ การดูแลตัวเองให้ดีหลังการเสริมหน้าอก หรือการหมั่นนวดหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการป้องกันไม่ให้เกิดพังผืดได้
ซิลิโคนแตก หรือรั่วซึม
ซิลิโคนแตก หรือรั่วซึม เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ซิลิโคนไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ซิลิโคนมีอายุการใช้งานนานเกินไป หรือได้รับการผ่าตัดโดยผู้ไม่มีความชำนาญ ซึ่งอาการผิดปกติที่สังเกตุได้ว่าซิลิโคนอาจรั่ว หรือแตก คือ หน้าอกเล็กลงอย่างฉับพลัน หรือเสียทรงอย่างรวดเร็ว เต้านมอาจลดลง หรือบวมขึ้น และไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ในบางรายอาจมีก้อนแข็ง รู้สึกเจ็บ ชา และแสบร้อนในเต้านม อย่างไรก็ตาม บางรายอาจไม่มีความผิดปกติที่เห็นได้ชัด เพื่อความปลอดภัยควรเข้ารับการตรวจอัลตราซาวนด์ทุกๆ 4-5 ปี หลังการทำ
เตรียมตัวให้ดีก่อนผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนหน้าอก
การจะรู้ว่าเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี? สิ่งสำคัญ คือ หลังเสริมหน้าอกต้องมีการดูแลหน้าอก เพื่อป้องกันการเกิดอาการผิดปกติของเต้านมอยู่ตลอดเวลา แต่ในบางกรณีอาจมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ซิลิโคนผิดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็น ซิลิโคนรั่ว หรือแตก หน้าอกเป็นคลื่น เนื่องจากซิลิโคนพับย่น ซิลิโคนเสื่อมสภาพ และอื่นๆ ทำให้ต้องมีการผ่าตัดหน้าอกเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ เพื่อความปลอดภัย และให้หน้ามีรูปร่างตามที่ต้องการ ซึ่งการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน สามารถทำได้ดังนี้
- นัดพบศัลยแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น และความจำเป็นที่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน
- แจ้งประวัติการแพ้ยา และอาหารต่อศัลยแพทย์ รวมไปถึงยา และอาหารเสริมที่กำลังรับประทานอยู่ในปัจจุบัน เพื่อที่ศัลยแพทย์จะได้วางแผนการหยุดรับประทานยา และอาหารเสริม
- แจ้งประวัติโรคประจำตัวให้ศัลยแพทย์ทราบ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
- งดบุหรี่เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงกรผ่าตัดในช่วงมีประจำเดือน
- เตรียมตัวลางานประมาณ 5 วัน สำหรับการพักฟื้นหลังผ่าตัด
ขั้นตอนในการผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนหน้าอก ทำอย่างไรบ้าง
การผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนหน้าอกมีความใกล้เคียงกับการเสริมหน้าอก ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนจะทำโดยศัลยแพทย์ และใช้เวลาโดยประมาณ 1-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของแต่ละเคส โดยทั่วไปผู้เข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอกบริเวณใต้ราวนม และปานนม จะสามารถใช้รอยแผลเดิมได้ แต่ในกรณีเสริมหน้าอกทางรักแร้ การเอาซิลิโคนออกจะมีข้อจำกัดในการมองเห็นได้ จึงต้องใช้การผ่าตัดส่องกล้องร่วมด้วย โดยผู้ผ่าตัดต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 วันหลังผ่าตัด ขั้นตอนในการผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน จะมีดังนี้
- แพทย์ตรวจร่างกายก่อนการผ่าตัด และเริ่มวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
- แพทย์ผ่าตัดเอาซิลิโคนอันเก่าออกมา และทำการขูดพังผืดบริเวณซิลิโคนเก่า แล้วจึงเอาซิลิโคนใหม่เข้าไปแทน
- ล้างแผล และเย็บปิดแผล
ดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนหน้าอก
หลังการผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่แผล และซิลิโคนยังไม่เข้าที่ จึงต้องพยายามดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทำตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ โดยข้อปฏิบัติในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด มีดังนี้
- หลังการผ่าตัด แพทย์อาจยังให้ใส่สายระบายเลือดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยลดอาการบวม จึงต้องระวังในการขยับร่างกายเป็นพิเศษ
- ในช่วงสัปดาห์แรกควรใส่ผ้ารัดหน้าอกไว้ เพื่อประคองทรงของเต้านม และลดแรงตึงของแผลด้วย หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาใส่บราเพื่อกระชับหน้าอก
- ควรนอนให้ตำแหน่งศีรษะสูงกว่าลำตัว อาจใช้หมอนหนุน 2-3 ใบ จะช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหม
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะอาจกระทบกระเทือนแผล
- ทานยาให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์
ยืดอายุให้ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบบง่ายๆ ให้อยู่นานขึ้น
หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกแล้ว ต้องมีการดูแลรักษาซิลิโคนให้มีอายุยาวนาน เพื่อให้หน้าอกคงรูปทรงสวยงาม ซึ่งการเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปีนั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลซิลิโคนของแต่ละคนด้วย สำหรับข้อควรปฏิบัติในการดูแลซิลิโคนมีอะไรบ้าง ไปดูตามนี้เลย
ไม่ควรโนบราบ่อย
เพื่อยืดอายุให้ซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้นานขึ้น หลังผ่าตัดควรสวมสปอร์ตบราไว้ตลอด 1 เดือนเต็ม แล้วจึงเปลี่ยนมาสวมบราแบบมีโครงที่ช่วยพยุงเต้านม และช่วยรักษาทรงอกให้สวยงาม ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการโนบรา เพราะอาจมีส่วนทำให้เต้านมหย่อนคล้อยได้ตามแรงโน้มถ่วง
นอนยกหัวสูง
ในช่วง 20 วันแรก ควรนอนในลักษณะศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัวแบบนอนหงาย เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดอาการบวมได้ ควรนอนในท่านี้ทุกวันติดต่อกัน งดการนอนท่าคว่ำ หรือนอนตะแคง เพื่อป้องกันซิลิโคนเคลื่อนตัว หรือซิลิโคนไหล
บริหารหน้าอก
การบริหารหน้าอก เริ่มด้วยการใช้ฝ่ามือดันเต้านมจากด้านนอกทั้งสองข้างเข้ามาชิดกัน แล้วจึงดันจากด้านในออกไปให้ห่างที่สุด และการดันจากด้านบนลงล่าง และล่างขึ้นบน ในแต่ละท่าให้ทำค้างไว้ท่าละ 10 วินาที ทำเป็นประจำทุกวัน การบริหารหน้าอกแบบนี้เหมาะกับผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทรงกลมเท่านั้น สำหรับผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนทรงหยดน้ำห้ามทำเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ทรงซิลิโคนเคลื่อนที่หรือเสียทรงได้
นวดหน้าอกเป็นประจำ
นวดหน้าอกหลังศัลยกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม ช่วยให้ทรงเต้านมกระชับ เต่งตึง อยู่ทรงได้ยาวนาน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียบของเลือดให้ดีขึ้น ป้องกันการหดรัดของโพรงหน้าอก ลดโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านม และป้องกันซิลิโคนไม่ให้เกิดริ้วรอยบนเต้านมด้วย โดยการนวดเต้านมสามารถเริ่มนวดได้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกไปแล้ว 7 วันขึ้นไป
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกในช่วง 8-12 สัปดาห์แรก ควรงดการยกของหนัก การขับรถ และการออกกำลังกายที่ทำให้ต้องขยับหน้าอกมาก เพราะจะทำให้ซิลิโคนเคลื่อนที่ และเสียทรงได้
หมั่นสังเกตซิลิโคนอยู่เสมอ
การสังเกตซิลิโคนอยู่เสมอ ช่วยให้เห็นปัญหา และแก้ไขได้รวดเร็ว โดยต้องหมั่นตรวจสอบความผิดปกติของซิลิโคนด้วยตัวเอง โดยการตรวจคล้ายกับการตรวจมะเร็งเต้านม คือ การใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางคลึงบนเต้านมเป็นรูปก้นหอยทั่วเต้านม หากรู้สึกถึงความผิดปกติ เช่น ก้อนแข็ง ก้อนนิ่ม หรือพังผืด ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัย และวางแผนการรักษาต่อไป
เสริมหน้าอกมา 10 ปี ต้องเปลี่ยนหรือไม่?
เมื่อเสริมหน้าอกมาแล้ว 10 ปี ควรต้องตรวจสอบเต้านมด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ แมมโมแกรม หรือตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยโปรแกรม MRI เพื่อตรวจหาความผิดปกติของซิลิโคน ในกรณีที่มีความผิดปกติ เช่น การรั่ว หรือการแตกของถุงซิลิโคน ซิลิโคนหมดอายุ และการเป็นพังผืด ในกรณีนี้ต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคน แต่หากตรวจเช็ดร่างกายแล้วไม่พบความผิดปกติของซิลิโคนก็สามารถอยู่ได้ยาวนาน โดยที่ต้องห้ามละเลยการดูแลซิลิโคนในทุกๆ วันเหมือนเดิม
การเสริมหน้าอกเป็นความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง สำหรับผู้ที่สนใจเสริมหน้าอกควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน รวมไปถึงผู้ที่เสริมหน้าอกแล้วก็ควรทำความเข้าใจในลักษณะผิดปกติของซิลิโคนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ส่วนคำถามที่ว่าเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี หรือซิลิโคนเสริมหน้าอกอยู่ได้กี่ปี คำตอบ คือ โดยทั่วไปซิลิโคนเสริมหน้าอกมีอายุได้ยาวนานกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละคน โดยเฉพาะการนวดหน้าอกเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ทั้งนี้ การเสริมหน้าอกควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทาง เลือกใช้ซิลิโคนที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีการดูแลใส่ใจทุกเคส เพื่อให้หน้าอกออกมาสวยงาม อยู่ได้ยาวนาน และมีความปลอดภัย