
การเสริมหน้าอกเป็นวิธีการแก้ปัญหาหน้าอกที่ตรงจุดมากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สาวๆ หลายคนที่มีปัญหาอกเล็ก หรืออกไม่สวยมีความคิดอยากเสริมหน้าอกเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยากทำหน้าอกมากขนาดไหน หลายคนก็ยังคงลังเลไม่กล้าทำเพราะกลัวอาการเจ็บ และอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด เช่น อาการปวดหลังหลังทำนม อาการเจ็บแผลผ่าตัด
ในความเป็นจริงแล้ว อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่พบได้หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งหากดูแลร่างกายและปฏิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมอกที่ศัลยแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด อาการหลังเสริมอกก็จะหายเร็วขึ้น และไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา ดังนั้น เพื่อช่วยให้คนอยากทำหน้าอกสบายใจขึ้น มาดูข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ควรรู้ และการดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกอย่างถูกวิธี รับรองว่าได้หน้าอกสวยแน่นอน
เนื้อหาที่น่าสนใจ

อาการหลังทำหน้าอก เป็นอย่างไร
ระยะที่ 1 — อาการหลังเสริมหน้าอกทันที
ระยะที่ 2 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1-3 ชั่วโมง
ระยะที่ 3 — อาการหลังเสริมหน้าอก 3-5 วัน
ระยะที่ 4 — อาการหลังเสริมหน้าอก 7-14 วัน
ระยะที่ 5 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1-2 เดือน
ระยะที่ 6 — อาการหลังเสริมหน้าอก 1 ปี

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการเสริมหน้าอก
เนื่องจากการเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีการวางยาสลบ หลังจากการผ่าตัด นอกจากอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัดแล้ว ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง และอาการหลังเสริมอกอื่นๆ ได้ ดังนี้
- รู้สึกแสบร้อน เกิดรอยแดง หรือรอยบวมบริเวณแผลผ่าตัด
- มีไข้จากแผลเกิดการติดเชื้อ
- รู้สึกแน่นหน้าอก ทำให้หายใจลำบากกว่าปกติ
- รู้สึกว่าบริเวณเต้านมแข็งผิดปกติ
- มีตุ่มหรือก้อนบริเวณเต้านม แต่หากมีบริเวณใต้รักแร้ อาจเป็นสาเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองได้
- มีความรู้สึกว่าซิลิโคนเคลื่อนที่ หรือหมุนได้

การดูแลตัวเองหลังทำหน้าอก ทำได้อย่างไร
แม้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะอนุญาตให้ผู้ผ่าตัดกลับบ้านได้ใน 3 ชั่วโมง หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงเรื่องภาวะแทรกซ้อน ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรดูแลแผลผ่าตัด และปฏิบัติตามข้อห้ามหลังเสริมหน้าอกที่ศัลยแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยวิธีดูแลหลังเสริมอก มีดังนี้
- ควรรับประทานยาที่ศัลยแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาพบศัลยแพทย์ตามนัดทุกครั้ง โดยการผ่าตัดเสริมหน้าอกศัลยแพทย์จะติดตามอาการหลังทำนมประมาณ 1 ปี
- ท่านอนหลังทำหน้าอกที่ถูกต้อง คือ การนอนบนหมอนสูง 45 องศา เป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- ในช่วง 2-3 วันแรกหลังผ่าตัดให้อาบน้ำทำความสะอาดเฉพาะช่วงล่างของร่างกายเท่านั้น ส่วนช่วงบนให้ใช้การเช็ดตัวแทน สำหรับการการอาบน้ำสามารถทำได้ในวันที่ 4 หลังการผ่าตัด แต่ต้องติดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำ
- การแกะพลาสเตอร์ปิดแผล สามารถทำได้ในวันที่ 4 หรือรอจนกว่าแผลแห้ง ซึ่งหลังจากแกะแล้วให้ทำความสะอาดแผลทุกวัน จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ
- ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรพันผ้าประคองเต้านมอย่างต่อเนื่อง ส่วนซัพพอร์ตบราให้ใส่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนนอนเป็นระยะเวลาประมาณ 3–6 เดือน หรือจนกว่าหน้าอกที่เสริมมาจะเข้ารูป
- ให้เริ่มนวดหน้าอกหลังจากตัดไหมประมาณ 2 สัปดาห์ โดยให้นวดครั้งละ 5–10 นาที วันละ 2 ครั้ง
- ควรทายารักษารอยแผลเป็นตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รอยแผลเป็นจางลง

อาหารแนะนำ หลังทำหน้าอกควรกิน
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลังการผ่าตัด ถือเป็นหนึ่งในข้อปฎิบัติที่ผู้เสริมหน้าอกต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหลังเสริมอกแล้ว ยังช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้นอีกด้วย สำหรับอาหารที่ควรรับประทาน มีดังนี้
- อาหารประเภทโปรตีน เป็นสารอาหารที่จำเป็นมากหลังการผ่าตัดทุกรูปแบบ เพราะช่วยฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลให้ติดเร็วขึ้น สำหรับอาหารประเภทโปรตีนที่คนเสริมหน้าอกควรรับประทานหลังผ่าตัด ได้แก่ นม ไข่ ถั่วทุกชนิด และอาหารทะแลที่ผ่านการปรุงสุก เป็นต้น
- อาหารประเภทไขมัน เพราะไขมันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดกระบวนดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ผ่าตัดเสริมหน้าอกแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี เช่น น้ำมันรำขาว ถั่วอัลมอลด์ ถั่วพิสตาชิโอ เป็นต้น
- วิตามินซี (Vitamin C) การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ ผลไม้ตระกลูเบอร์รี่ หรือผักใบเขียว ช่วยกระตุ้นให้แผลผ่าตัดสมานง่าย และหายได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เป็นอย่างดี
- วิตามินอี (Vitamin E) เช่นเดียวกับวิตามินซี การรับประทานอาหารที่มีวิตามินอีสูงจะช่วยให้แผลสมานได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ ข้าวสาลี ไข่ไก่ และผักประเภทกระหล่ำ
- แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) หากต้องการให้แผลผ่าตัดหายเร็ว และลดความเสี่ยงเรืองภาวะแทรกซ้อน แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เพราะนอกจากแร่ธาตุสังกะสีจะช่วยสมานแผลแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบของแผลได้อีกด้วย สำหรับอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ แอปเปิ้ล ถั่ว สัปปะรด ผักโขม และธัญพืช เป็นต้น

ข้อห้ามหลังเสริมหน้าอก ที่ควรหลีกเลี่ยง
1. ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
2. ห้ามนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง
3. ห้ามออกแรงมากเกินความจำเป็น
4. งดทำกิจกรรมบางประเภท
เหตุผลที่ศัลยแพทย์แนะนำผู้เข้ารับการเสริมหน้าอกให้หยุดพักการทำงาน และงดกิจกรรมบางอย่างนั้น นอกจากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลให้แผลฉีกขาด โดยกิจกรรมที่ไม่ควรทำหลังการผ่าตัด มีดังนี้
- ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังการผ่าตัด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอาจทำให้แผลผ่าตัดปริ หรือฉีกขาดได้
- ห้ามว่ายน้ำ หรือแช่น้ำในอ่างอาบน้ำอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ หลังจากการผ่าตัด
- ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก การขับรถ การวิ่ง หรือกระโดด อย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด เพราะอาจส่งผลให้ซิลิโคนเคลื่อนที่จากตำแหน่ง
5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารบางประเภท
แน่นอนว่าเมื่อมีอาหารที่ควรรับประทานหลังการเสริมหน้าอกแล้ว ย่อมมีอาหารที่เป็นข้อห้ามหลังเสริมอก ซึ่งอาหารที่ห้ามรับประทาน มีดังนี้
- อาหารหมักดอง เนื่องจากอาหารประเภทนี้ อาจกรรมวิธีการผลิตที่ไม่สะอาด ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาแผลติดเชื้อได้หากรับประทาน
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีด ส่งผลให้แผลสมานตัวช้าลง จึงควรงดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
- สมุนไพร ยาแผนโบราณ เนื่องจากในยาสมุนไพรบางชนิด มีสารประเภทสเตียรอยด์ที่ทำให้เลือดแข็งตัว จึงควรงดทั้งตอนก่อน และหลังการผ่าตัด
- อาหารสุกๆ ดิบๆ เนื่องจากอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค และพยาธิ หากรับประทานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดได้
- อาหารที่แพ้อยู่แล้ว เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ตัวเองมีอาการแพ้ทำให้เกิดตุ้มคัน หรือผื่นขึ้นตามตัว ซึ่งการเกาหรือสัมผัส อาจทำให้แผลติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้
6. ห้ามสวมใส่เสื้อชั้นในแบบมีโครง
7. หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อน

อยากทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ต้องดูอะไรบ้าง

ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับ Jarem Clinic ดีกว่ายังไง
สำหรับคนที่กำลังวางแผนเสริมหน้าอกเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเสริมหน้าอกที่ไหนดี Jarem Clinic เราเป็นคลินิกศัลยกรรมมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ทุกขั้นตอนดำเนินโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสริมหน้าอก ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด วางแผนการผ่าตัด ดำเนินการผ่าตัดร่วมกับวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางในทุกขั้นตอนด้วยเทคนิคเฉพาะของ Jarem Clinic ทำให้แผลผ่าตัดมีความสวยงาม เรียบเนียน และเล็กเพียง 3 เซนติเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีบริการติดตามผลหลังผ่าตัด ซึ่งหากสนใจสามารถรีวิวศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้ที่ รีวิวศัลยกรรมเสริมหน้าอก